นโยบายการศึกษาจะ "จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" ได้อย่างไร
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แถลงนโยบายการศึกษาต่อผู้บริหารการศึกษาทุกสังกัดในส่วนภูมิภาค และมีการถ่ายทอดสดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนทั่วไปร่วมรับฟัง
จากการรับฟังนโยบายของท่านรัฐมนตรีฯ ขอชื่นชมว่าท่านมีความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาการศึกษา ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาไทยแม้ว่าท่านจะไม่ได้มาจากสายการศึกษาโดยตรงก็ตาม หากดูจากภาพรวมของนโยบายที่เป็นจุดเน้น มีไฮไลท์ที่น่าสนใจ 4-5 ประการ เช่น แนวคิดจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน (แสดงถึงการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม) เรียนดีมีความสุข (ให้ความสำคัญความสุขของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ) เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา การ Coaching แนะแนวการศึกษา และการเทียบโอน เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่จุดเน้นเกี่ยวกับการลดภาระครู และลดภาระนักเรียนยัง “เกาไม่ถูกที่คัน” หรือยังไม่ตอบโจทย์ปัญหาของครู โรงเรียน และนักเรียนที่ป่วยเรื้อรังมานานจากนโยบายและโครงสร้างระบบการศึกษา ซึ่งผู้ปกครอง คนในวงการศึกษาและประชาชนเรียกร้องให้มีการปฎิรูปมาโดยตลอดกว่า 10 ปี
"เรียนดี มีความสุข" ท่านใช้คำได้ดี ภายใต้บทนำ ท่านกล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นประเด็นสำคัญ และภายใต้นโยบายดังกล่าว มีจุดเน้นสำคัญ 2 ประการที่จะขับเคลื่อน คือ การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และลดภาระเด็กและผู้ปกครอง แต่ท่านไม่ได้กล่าวถึงปมปัญหาที่มีอยู่จริงในปัจจุบันและเชื่อมโยงกับประเด็นอื่น ๆ ซึ่งก็คือ "โรงเรียนขนาดเล็ก" และ "การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน" ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาไทย รวมถึงการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อที่ 4 (สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Ensure inclusive and equitable quality education and promote lifelong learning opportunities for all) ที่ยังไม่ชัดเจนในนโยบาย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและคุณภาพการศึกษา
ปัจจุบัน โรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนมากกว่า 50% ของโรงเรียนในระบบทั้งหมด ซึ่งสอดรับกับข้อมูลสถิติประชากรแรกเกิดใหม่ของสังคมไทยที่ลดลงทุกปี ยิ่งมีเด็กน้อย โรงเรียนต่างมีแนวโน้มมีขนาดลดลง ทว่า การมีอยู่ของโรงเรียนขนาดเล็กไม่ใช่ปัญหา ที่เป็นปัญหาคือคุณภาพการศึกษา แต่ก็มีตัวอย่างมากมายที่โรงเรียนขนาดเล็กมีที่มีครูไม่พอ ครูไม่ครบชั้นหรือสอนไม่ตรงเอก แต่สามารถพัฒนาคุณภาพตัวเองได้ทุกด้าน ทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในสังคมยุคใหม่ โดยไม่ต้องยุบหรือไปควบรวมกับโรงเรียนอื่น ในนโยบาย ดูเหมือนท่านจะยังคงเน้นการพัฒนาโรงเรียนขนาดใหญ่ตามนโยบาย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ซึ่งเป็นนโยบายที่มุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามระบบการศึกษากระแสหลักและตามระบบนิเวศการเรียนรู้แบบเดิม ซึ่งยังไม่สอดคล้องและเท่าทันกับบริบทของระบบนิเวศการเรียนรู้ใหม่ของสังคมไทยและสังคมโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว
จับมือและไปด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม
ข้อนโยบายเรื่องการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังไม่ตรงจุดของปัญหาเท่าที่ควร เพราะควรปลดล็อกนโยบายที่จำกัดการพัฒนา อย่างเงินอุดหนุนรายหัว การจัดสรรค่าสาธารณูปโภค และจัดสรรบุคลากรครูและผู้บริหารที่ยึดตามจำนวนหัวนักเรียน เพราะไม่เป็นธรรมกับนักเรียนและครูโรงเรียนขนาดเล็ก ควรมีแนวทางและวิธีการจัดสรรทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมแนวทางใหม่ที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนจะดีกว่า รวมถึงนโยบายแจกแท็บเล็ตให้ครูซึ่งยังเกาไม่ถูกที่คัน ควรเปลี่ยนมาเป็น "คืนครูให้เด็ก คืนผอ.ให้โรงเรียน คืนโรงเรียนให้ชุมชน" น่าจะดีกว่า ซึ่งเป็นการคืนสิทธิในการเรียนรู้ให้เด็ก และคืนโรงเรียนให้กับชุมชน (การ "จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน") ตลอดจนถึงคำสั่งการในการปฏิบัติตามนโยบายยังไม่ได้กล่าวถึง ปัญหาของโครงการและการฝึกอบรมจากส่วนกลางและองค์กรต้นสังกัดต่าง ๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของครูและโรงเรียนที่มอบหมายลงมาเป็นจำนวนมาก กลายเป็นภาระงานที่กระทบต่อเวลาการจัดการเรียนการสอน นโยบายควรให้ความสำคัญและความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ท้องถิ่น เอกชนและภาคประชาสังคมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและพัฒนาโรงเรียนซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของชุมชน โดยมาช่วยให้คำว่า "จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน" ให้เป็นรูปธรรมที่หลากหลายมากขึ้น แม้กระทั่งเรื่องนักศึกษาครูฝึกสอน ควรมีนโยบายปลดล็อกนักศึกษาครู ให้สามารถไปฝึกสอนโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนครูได้แม้ว่าไม่มีครูพี่เลี้ยงตรงเอก นอกจากโรงเรียนจะได้ครูผู้สอนเพิ่มขึ้นได้แล้ว กระทรวงศึกษาธิการยังได้ครูผู้สอนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ เข้าใจปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก และมีทักษะในการบูรณาการหลักวิชาและนวัตกรรมการเรียนการสอนแบบใหม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ นโยบายของกระทรวงยังไม่ได้กล่าวถึงปัญหาของหลักสูตรแกนกลางที่มีเยอะมากเกินไป ซึ่งปัจจุบันไม่เหมาะสมแล้ว เพราะบางวิชานักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง รวมถึงที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนบนฐานสมรรถนะแบบมีส่วนร่วมผ่านการปฏิบัติ หรือ Active Learning แต่นโยบายไม่ได้กล่าวถึงอย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจน การเรียนรู้บนฐานสมรรถนะเป็นหัวใจสำคัญหนึ่งของระบบนิเวศการเรียนรู้ใหม่และการเรียนรู้ตลอดชีวิต หากนโยบายของรัฐบาลนี้ทิ้งการเรียนการสอนแบบ Active Learning หรือไม่ให้ความสำคัญ ระบบการศึกษาไทยก็จะวนกลับไปอยู่ในลูปเดิม ๆ ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
Learning Loss จากโควิด-19 และผู้เรียนนอกระบบ
นโยบายไม่ได้กล่าวถึงภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning loss) ที่เกิดขึ้นในวงกว้างจากผลกระทบของโควิด-19 ภาวะดังกล่าวต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและมองผู้เรียนเป็นรายบุคคลมากขึ้น การเปิดเรียนปกติด้วยหลักสูตรการสอนที่ไม่รองรับจุดนี้และไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนที่มีความต้องการแตกต่างกัน ซ้ำหลายโรงเรียนยังเจอปัญหาครูไม่พอ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งช่วงโควิดและหลังจากนั้นมีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจ หากรูปแบบการเรียนการสอนไม่ปรับให้ตอบโจทย์ตรงหน้า จะยิ่งส่งผลให้มีเด็กหลุดออกไปมากขึ้นเพราะเรียนไม่ทัน ไม่ต่อเนื่อง ไม่มีแรงบันดาลใจ ส่งผลต่อทักษะในการเรียนต่อและมีงานทำต่อไป
เห็นด้วยกับนโยบายการเปิดสถานที่ต่าง ๆ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Any Time) การเทียบโอนความรู้จากประสบการณ์ และนโยบายสะสมหน่วยการเรียนรู้ (Credit Bank) แม้นโยบายเหล่านี้บางอย่างจะเป็นสิ่งรัฐบาลก่อน ๆ ทำมาบ้างแล้ว การพัฒนาต่อยอดเป็นสิ่งที่ดี และหากจะให้ดียิ่งขึ้นควรเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคส่วนต่าง ๆ หากจะทำสิ่งใหม่และเป็นประโยชน์กับเด็กนอกระบบซึ่งเป็นเด็กที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา ตกหล่น หรือออกจากระบบการศึกษาปกติ รวมถึงกลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่เปราะบางทางเศรฐกิจและสังคมในโรงเรียนปกติแต่มีแนวโน้มหลุดจากระบบการศึกษา (มีจำนวนรวมกว่า 4.6 ล้านคน จากข้อมูลรายงานวิจัยของสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ปี 2562) ท่านรัฐมนตรีควรเพิ่มนโยบายปลดล็อกการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยมาตรา 12 หรือการศึกษาทางเลือกของสถาบันสังคม (การจัดการศึกษาโดยครอบครัวและโดยศูนย์การเรียน) ซึ่งปัจจุบันกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และควรศึกษาพัฒนานโยบาย "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้านการศึกษา (Education Card)" (รายละเอียดข้อเสนอนโยบายการศึกษาในงานวิจัย "องค์ความรู้การศึกษาทางเลือกของสังคมไทย กับแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน") เป็นกลไกสนับสนุนให้เด็กสามารถเลือกเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพที่สนใจได้ด้วยตนเอง รวมถึงเห็นด้วยกับ การ Coaching แนะแนวการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้ค้นพบในสิ่งที่ตนเองต้องการได้เร็วขึ้น แต่กังวลเรื่องของการจัดการในแต่ละพื้นที่และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ที่กำกับดูแล ว่าจะนำไปปฏิบัติให้สำเร็จตามเป้าหมายของนโยบายอย่างมีคุณภาพได้อย่างไร

1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ไม่ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ
นโยบายนี้จะเป็นการเพิ่มมากกว่าลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เนื่องจากนโยบายนี้คิดบนฐานของนโยบายการยุบ-ควบรวมโรงเรียนเล็กที่เสนอโดยธนาคารโลก และจะเป็นมาตรการมารองรับและสานต่อนโยบายโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล (1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ) ของอดีตรมต.ศธ. การขับเคลื่อนนโยบายนี้ นอกจากจะทำให้ทรัพยากรและงบประมาณกระจุกตัวอยู่ที่บางโรงเรียนแล้ว หากควบคู่ไปกับการยุบ-ควบรวม จะยิ่งส่งผลให้สถานการณ์โรงเรียนขนาดเล็กจะแย่ลงไปอีก และเป็นการจำกัดสิทธิทางการศึกษาของเด็กโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะจะมีเด็กจากครอบครัวกลุ่มเปราะบางและไม่พร้อมเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนคุณภาพประจำตำบลและอำเภอได้ อาจจะหลุดออกจากระบบการศึกษาเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่น่ากังวลที่ท่านยังไม่มีนโยบายให้กับโรงเรียนขนาดเล็กได้มีทางเลือกในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งตอนนี้มีตัวอย่างแล้วหลายโรงเรียนที่ทำได้แม้ว่านโยบายของต้นสังกัดยังไม่สนับสนุนอย่างจริงจังเท่าที่ควร ดังนั้นอยากเรียกร้องให้โรงเรียนขนาดเล็กที่ต้องการพัฒนาคุณภาพด้วยตนเองและไม่ต้องการยุบควบรวมส่งเสียงให้ดังมากขึ้น และให้ทางกระทรวงและรัฐรับฟังเสียงเรียกร้องเพื่อการพิจารณาและสนับสนุนนโยบายให้โรงเรียนขนาดเล็กมีทางเลือกในการพัฒนาคุณภาพตนเองมากขึ้น
ถึงกระนั้น ยังมีโรงเรียนขนาดเล็กอีกจำนวนมากที่ต้องการการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน ปัญหาใหญ่ที่พวกเขาเจอคือขาดผู้บริหาร และครูไม่พอ (เมื่อผอ.และครูเกษียณข้าราชการแล้ว ไม่มีการจัดสรรบุคลากรใหม่เข้ามาทดแทน) อีกสาเหตุที่ครูขาดคือนโยบายถูกคิดบนฐานหลักสูตรแกนกลาง 8 สาระวิชา และการจัดสรรบุคลากรต่อหัวตามจำนวนนักเรียน สิ่งเหล่านี้ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กต้องดิ้นรนหาทางออกเองให้ตรงตามบรรทัดฐานที่สพฐ. วางไว้ หากหลักสูตรแกนกลางมีไม่มากและให้สิทธิโรงเรียนในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและบริบทของชุมชนได้ ก็จะแก้ปัญหาส่วนนี้ได้ และหากครูมีอิสระในการสอน ได้รับการยกระดับทักษะการสอนแบบบูรณาการ จะช่วยให้โรงเรียนขนาดเล็กปรับแผนการสอนและทำได้อย่างมีคุณภาพท่ามกลางข้อจำกัดได้
อีกประการหนึ่งคือค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ ค่าไฟ) ยังรวมอยู่ในงบเงินอุดหนุนรายหัวเด็ก ซึ่งไม่เป็นธรรมกับโรงเรียนขนาดเล็กเพราะเงินอุดหนุนรายหัวแต่ละเดือนเมื่อหักค่าใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภคแล้วจะเหลือไม่มากพอในการนำมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบที่โรงเรียนต้องการได้ นอกจากนี้ ยังพบกรณีเด็กที่ไปเรียนรวมในโรงเรียนแม่เหล็ก (โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล) ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ เนื่องด้วยอุปสรรคจากวิถีชีวิตของเด็กและครอบครัวที่เปลี่ยนไป (ตื่นเช้า กลับค่ำ เดินทางไกลขึ้น เป็นต้น) และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่ไม่คุ้นเคย หรือมีบรรยากาศของการแข่งขัน ทำให้ประสิทธิภาพการเรียนของเด็กลดลง และเสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษามีแนวโน้มจะเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
อีกหนึ่งข้อท้าทายของโรงเรียนขนาดเล็ก คือ ครูไม่กล้าที่จะส่งเสียงหรือช่วยชี้ปัญหาที่มีอยู่ ไม่กล้าแตะเรื่องนโยบาย เนื่องจากอำนาจการโยกย้าย การเลื่อนขั้นเป็นการรวมศูนย์ และขาดการถ่วงดุลอย่างเป็นธรรม รวมถึงการประเมินวิทยฐานะต่างๆของครู แม้ว่าตัวชี้วัดปัจจุบันคือให้วัดผลคุณภาพนักเรียนแต่การประเมินคุณภาพนักเรียนคือใช้การวัดจากผลการทดสอบระดับชาติซึ่งหลักสูตรเดียวใช้ทั่วประเทศ ครูและผู้บริหารในโรงเรียนขนาดเล็กจึงพบความยากลำบากในการบริหารจัดการ สุดท้ายปัญหาก็จะวนลูปเดิม ฝังรากลึกขึ้น และไม่สามารถแก้ได้ง่าย ๆ
ทิ้งท้ายถึงรัฐมนตรี
ขอให้ท่านให้ความสนใจโรงเรียนขนาดเล็กที่พยายามพัฒนาตนเองหรือโรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ด้วยตนเอง (Stand Alone) ซึ่งมีทั้งโรงเรียนที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ เช่น อยู่บนภูเขา ชายแดน เกาะแก่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เดินทางยากลำบาก ฯลฯ รวมถึงโรงเรียนขนาดเล็กที่ครู ผู้ปกครองและชุมชน ต้องการให้เปิดสอนต่อไป ควรมีนโยบายและมาตรการในการเข้าไปสนับสนุน เนื่องจากโรงเรียนกลุ่มนี้พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง และจะเป็นการลดภาระของกระทรวงศึกษาธิการได้ด้วย หากพิจารณาจากประชากรแรกเกิดจะพบว่าจะไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มขึ้นของโรงเรียนขนาดเล็กได้ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 50% ของโรงเรียนทั้งหมดแล้ว อีกทั้งการยุบ ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเข้าสู่โรงเรียนแม่เหล็กไม่ใช่ตัวชี้วัดหรือหลักประกันว่าจะทำให้นักเรียนมีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับโรงเรียนขนาดเล็ก พัฒนาคุณภาพให้เป็นโรงเรียนของชุมชน และดึงพลังของชุมชน ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กให้คงอยู่ได้โดยไม่ต้องยุบควบรวมหรือให้เด็กไปเรียนไกลชุมชนของตน อาจมีการเปิดโอกาสมาตรการทางภาษีให้องค์กรภาคเอกชนต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กด้วย
นอกจากนี้ ขอให้ท่านรัฐมนตรีให้ความสำคัญและมีนโยบายที่จะปลดล็อกการศึกษานอกระบบที่เป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของสถาบันทางสังคมตามมาตรา 12 เช่น ศูนย์การเรียนโดยบุคคล องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน สถานประกอบการ และการจัดการศึกษาโดยครอบครัว (Home School) เป็นต้น ซึ่งยังไม่ได้รับการสนับสนุนและรับสิทธิประโยชน์ทางการศึกษาใด ๆ ตามกฎหมายจากรัฐเลย (ยกเว้นศูนย์เรียนโดยสถานประกอบการ) ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนรายหัว อาหารกลางวัน อาหารเสริม (นม) เครื่อแบบ สิทธิการเรียนรด. แบบเรียน อุปกรณ์ทางการศึกษา สัญญาณอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ที่ผ่านมาสถานศึกษานอกระบบดังกล่าวสามารถรองรับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาและเด็กกลุ่มเปราะบางได้ ลดภาระของกระทรวงศึกษาไปได้มาก
หากรัฐสามารถมองว่าการศึกษานอกระบบ การศึกษาทางเลือกของสถาบันสังคม และโรงเรียนขนาดเล็กที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นจุดแข็งและกลไกสำคัญของระบบการศึกษาไทยในการทำให้การทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ กลุ่มคนที่ยากจนและเปราะบางที่สุดเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคน สิ่งนี้จะตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยิ่ง ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 4 ที่ยังไม่ถูกกล่าวถึงในเชิงนโยบาย แต่ไทยมีพันธกิจร่วมกับประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติในการบรรลุเป้าหมายภายในปี 2573 และไม่ใช่แค่เป้าหมายที่ 4 เรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงและทำไปพร้อมกันกับเป้าหมายอื่น ๆ เช่น 1 การขจัดความยากจนทุกรูปแบบ, 5 การบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ, 8 การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน และ 10 การลดความไม่เสมอภาคภายในประเทศและระหว่างประเทศ
โดย เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย (สกล.) ผู้ประสานงานโครงการ ACCESS School
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บุรัสกร กิติพจน์นพรัตน์ (ผู้ช่วยฝ่ายสื่อสารโครงการ ACCESS School)
อีเมล: burassakorn.gitipotnopparat@actionaid.org
Facebook: https://www.facebook.com/access.school.project
Full Access: จดหมายข่าวโครงการ ACCESS School ฉบับที่ 3
การหนุนเสริมภาคประชาสังคมยังคงเป็นหัวใจสำคัญของโครงการในปีที่ 3 และในกิจกรรมต่าง ๆ ก็เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้หยิบยกทักษะและความรู้ทางเทคนิคที่ได้รับมาตลอด 3 ปี มาปรับใช้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหารโครงการและการเงิน การสื่อสารสาธารณะและสร้างการรับรู้ การทำงานพัฒนาบนฐานสิทธิมนุษยชน และการสร้างความร่วมมือหลายกับหน่วยงานรัฐและเอกชน พวกเขามีความมีความมั่นใจมากขึ้นและคล่องแคล่วในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเครือข่ายที่ชัดเจน มีระบบ และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างดีแม้จะอยู่คนละพื้นที่ นี่ไม่เพียงสร้างความมั่นใจว่าองค์กรภาคประชาสังคมภายใต้โครงการจะสามารถขยายผลการใช้นวัตกรรม Active Learning ไปสู่ 400 โรงเรียนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสร้างกลไกการบริหารจัดการโรงเรียนอย่างมีส่วนร่วมและมีธรรมาภิบาล แต่เรายังเชื่อว่า แม้หลังจากโครงการ ACCESS School สิ้นสุดลง พวกเขาจะสามารถดำเนินภารกิจในการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ของตนต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ติดตามเรื่องราวการเปลี่ยนแปลง และความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้นในปี 3 ได้ในจดหมายข่าว Full Access: จดหมายข่าวโครงการ ACCESS School ฉบับที่ 3
ดาวน์โหลดจดหมายข่าว
โครงการ ACCESS School คือ โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนโดยสหภาพยุโรป ระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) บริหารโครงการโดยมูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย สมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย และสมาคมไทบ้าน ในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ชนบท โดยมุ่งส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมและบทบาทในการบริหารจัดการสถานศึกษาในชุมชนของตน
เครือข่ายโรงเรียนร้อยเอ็ด ภาคประชาสังคม สพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 เปิดเวทีความร่วมมือหลากภาคส่วน สร้างแนวทางพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก
วันที่ 4 กันยายน 2566 มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) สมาคมไทบ้าน และสภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ภายใต้โครงการแอ็คเซส สคูล (ACCESS School) ชุมชนสร้างโรงเรียน โรงเรียนสร้างชุมชน ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จัดเวทีเสวนาพหุภาคีระดับจังหวัดร้อยเอ็ด ณ หอประชุมทุ่งกุลา สำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ต.ดอกไม้ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ผสานความร่วมมือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการศึกษาหารือแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เหมาะสมกับโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัด
นายสุชาติ พุทธลา ผู้อำนวยการ สพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 เป็นประธานเปิดเวทีเสวนา โดยมีนายสัมพันธ์ ภูหินกอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านร้านหญ้า และประธานเครือข่ายโรงเรียนนวัตกรรมร้อยเอ็ด เป็นผู้กล่าวรายการต่อประธานในพิธี นายสัมพันธ์ กล่าวว่า เวทีเสวนาในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เป็นพื้นที่ปรึกษาหารือด้านการศึกษาเพื่อค้นหารูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สู่การพัฒนายุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ดแบบมีส่วนร่วม (2) เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ดผ่านการมีส่วนร่วมหลายภาคส่วน ได้แก่ โรงเรียนขนาดเล็ก คณะกรรมการสถานศึกษา องค์กรภาคประชาสังคม และหน่วยงานภาครัฐ อาทิ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ (3) เพื่อรับสมัครโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดร้อยเอ็ดที่สนใจเข้าร่วมเครือข่าย
นายสุชาติ พุทธลา ผู้อำนวยการ สพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 กล่าวว่า เวทีเสวนาในครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่ดี ควรนำเป็นแบบอย่างอีกกิจกรรมหนึ่ง เพราะเป็นการสร้างความร่วมมือเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังเป็นเวทีร่วมค้นหารูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่นำไปสู่การจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเป็นการเชื่อมร้อยองค์กรภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาบนฐานต้นทุนที่แตกต่าง จึงขอเป็นกำลังใจให้กับเครือข่ายโรงเรียนนวัตกรรมชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด ในการดำเนินกิจกรรมที่ดีอย่างนี้ต่อไป
โครงการแอ็คเซส สคูล ดำเนินงานในพื้นที่ 8 จังหวัดใน 3 ภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นครอบคลุมจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด มีสภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์และสภาพัฒนาการศึกษามหาสารคาม องค์กรภาคประชาสังคมร่วมขับเคลื่อนและขยายผลเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดของตน สำหรับจังหวัดร้อยเอ็ด เดิมยังไม่มีกลไกเครือข่ายประชาสังคมด้านการศึกษาที่ชัดเจน จึงมีการประชุมปรึกษาหารือระหว่างสมาคมไทบ้านและเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบนวัตกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ต่อมาได้เข้าพบนายสุชาติ พุทธลา ผอ.สพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 เพื่อปรึกษาหารือการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสพป.นี้ ซึ่งมีโรงเรียนในสังกัด 336 แห่ง ถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย และในจำนวนดังกล่าว เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมากกว่า 200 แห่ง
ด้วยเป้าหมายโครงการแอ็คเซส สคูล สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสพป.ร้อยเอ็ด เขต 2 จึงเกิดการสร้างความร่วมมือในการจัดเวทีเสวนา เพื่อค้นหารูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการสร้างความร่วมมือให้เกิดการพัฒนาการศึกษาในระดับจังหวัด รวมถึงการสนับสนุนให้ใช้แนวทางการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น ความร่วมมือดังกล่าวจะสนับสนุนวัตถุประสงค์ของโครงการ เอื้ออำนวยให้สถานศึกษา ชุมชน และองค์กรภาคประชาสังคมหารือประเด็นพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก และมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนากับหน่วยงานภาครัฐให้เหมาะสมกับแต่ละบริบทพื้นที่ในจังหวัด
ช่วงเวทีเสวนา “รูปแบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่เหมาะสมกับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดร้อยเอ็ด” เป็นพื้นที่ผสานความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการศึกษาหลายภาคส่วน รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น เพื่อปรับใช้กับบริบทของจังหวัดร้อยเอ็ด การเสวนาดำเนินโดย ดร.ธีรดา นามให นายกสมาคมไทบ้าน และมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายสุชาติ พุทธลา ผอ.สพป.ร้อยเอ็ดเขต 2, นายสัมพันธ์ ภูหินกอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านร้านหญ้าและประธานเครือข่ายโรงเรียนนวัตกรรมชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด, นายเสน่ห์ เสาวพันธ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านฮ่องทราย จ.ร้อยเอ็ด, นายบุญเรือง ปินะสา ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านหนองบัวคู จ.มหาสารคาม, ว่าที่ร้อยตรี เฉลิมชัย จันทรนิมะ รองประธานสภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์, นายบวร ประสาร นายกเทศมนตรีตำบลดอกไม้, นายเกียรติศักดิ์ อาจหาญ ผู้แทนสำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด, ว่าที่ร้อยตรีเถลิงเกียรติ ทองขัน ผู้แทนสำนักงานประมงอำเภอสุวรรณภูมิ, นางสาวณัฐกานต์ กลิ่นเขียว ผู้แทนสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดร้อยเอ็ด และนางสาวรุ่งทิพย์ อิ่มรุ่งเรือง ผู้จัดการฝ่ายโครงการและนโยบาย มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
นางสาวรุ่งทิพย์ กล่าวว่า นอกจากโครงการแอ็คเซส สคูลจะเป็นโครงการแรกที่สหภาพยุโรปได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อทำงานโดยตรงกับโรงเรียนขนาดเล็ก สิ่งที่ผู้เข้าร่วมทุกท่านกำลังร่วมมือกันทำอยู่นั้นเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการทำเพื่อพัฒนาคน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ และเป็นการปฏิบัติตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่นานาประเทศทั่วโลกยอมรับร่วมกันว่าจะไม่ทิ้งใครไหนไว้ข้างหลัง เด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ผู้จัดการฝ่ายโครงการและนโยบาย มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เสริมว่า ทรัพยากรของประเทศเรานั้นไม่ได้มีจำกัด เพียงแต่การจัดสรรทรัพยากรยังไม่ทั่วถึง และยังไม่มีการบูรณาการและทำงานร่วมกัน วันนี้ท่านนายกเทศมนตรีพูดชัดเจนมากว่าทางเทศบาลต้องดูแลทุกคนให้ดี เด็กถือเป็นทรัพยากรมนุษย์และกลไกในการพัฒนาพื้นที่ เทศบาลจึงให้ความสำคัญในการดูแลเด็ก ทั้งด้านโภชนาการ สุขอนามัย และการศึกษา ด้านผู้แทนจากหน่วยงานท้องถิ่นอื่น ๆ ก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความพร้อมทั้งงบประมาณและความรู้ทักษะชีวิตที่จะถ่ายทอดให้เยาวชน สิ่งเหล่านี้สำคัญมากและเป็นเหตุผลที่โครงการจัดให้มีเวทีที่โรงเรียนขนาดเล็ก ภาครัฐและภาคส่วนต่าง ๆ มาเจอกัน ให้เกิดความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานด้วยกันต่อไป ขอให้การเจอกันครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันเพื่อเด็ก ๆ ที่จะนำพาประเทศของเราต่อไปในอนาคต
ติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กจังหวัดร้อยเอ็ด และพื้นที่อื่น ๆ ภายใต้โครงการแอ็คเซส สคูล ได้ทาง facebook.com/access.school.project และ actionaid.or.th
เกี่ยวกับโครงการแอ็คเซส สคูล (ACCESS School)
มูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย ร่วมกับสภาการศึกษาทางเลือกไทย และสมาคมไทบ้าน ภายใต้การสนับสนุนทุนการดำเนินโครงการโดยสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา (Active Civil Society for Quality Education of Small Schools หรือ ACCESS School) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม และพัฒนาศักยภาพชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการโรงเรียนในชุมชนมากขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม น่าน กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถจ่ายได้ ผ่านการปรับใช้ “โมเดลโรงเรียนขนาดเล็ก” เพื่อให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมและการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งถึงสิทธิและบริบทพื้นฐานของเด็กในชุมชนนั้น ๆ โดยยึดแนวทางการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active Learning) ซึ่งโครงการนี้จะมีระยะเวลาการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 4 ปี (พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2566)
โครงการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรภาคประชาสังคมพร้อมด้วยเครือข่าย ในการสนับสนุนแนวทางการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active Learning) ในสถานศึกษาและส่งเสริมความเป็นพลเมือง และส่งเสริมให้มีบทบาทในนโยบายและการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับชาติมากยิ่งขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมในท้องถิ่นที่ได้รับการเพิ่มขีดความสามารถแล้ว จะทำงานส่งเสริมความร่วมมือระหว่างชุมชน โรงเรียน และหน่วยงานรัฐท้องถิ่น โดยการทำงานผ่านคณะกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนที่มากขึ้นในการบริหารจัดการสถานศึกษาและหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียน ทั้งยังมุ่งหนุนเสริมโรงเรียนและโครงสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นให้ยอมรับการมีส่วนร่วมของสตรีในกระบวนการตัดสินใจที่มากขึ้นอีกด้วย
เกี่ยวกับสหภาพยุโรปในประเทศไทย (European Union in Thailand)
สหภาพยุโรป (อียู) เป็นการรวมตัวในลักษณะสหภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศในทวีปยุโรป มีสมาชิกในปัจจุบันจำนวน 27 ประเทศ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันสร้างภูมิภาคที่มีความมั่นคง เป็นประชาธิปไตย และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก เปิดกว้างในการยอมรับซึ่งกันและกัน และเคารพเสรีภาพของประชาชน ในปี 2555 (ค.ศ. 2012) สหภาพยุโรปได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนื่องจากเป็นองค์กรที่ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ ความสมานฉันท์ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนในยุโรป
สหภาพยุโรปเป็นสมาคมทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นแหล่งทุนและเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกยังเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance) รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่มูลค่าการให้ความช่วยเหลือรวมกันเกินครึ่งหนึ่งของยอดรวมทั้งโลก
เกี่ยวกับมูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 โดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นให้ประชากรที่ประสบความยากจนและการกีดกันทางสังคม พัฒนาศักยภาพด้านสิทธิมนุษยชน เป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วม และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของตน องค์กรเชื่อในพลังของผู้คนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเองและสังคม จึงสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกกีดกันทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิง เยาวชน และคนยากจน ตระหนักถึงศักยภาพของตน เข้าใจในสิทธิ์ที่ตนพึงจะมี และใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี
แอ็คชั่นเอดทำงานเป็นพันธมิตรร่วมกับชุมชน องค์กรประชาสังคม กลุ่มและเครือข่ายผู้หญิง กลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคม สถาบันการศึกษาและการวิจัย หน่วยงานรัฐในระดับต่างๆ สื่อ ฯลฯ และขยายผลโครงการของเราในระดับท้องถิ่น การจับมือกับพันธมิตรและรวมพลังเป็นหนึ่ง เปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่เคยถูกละเลยและกีดกัน สามารถนำเสนอประเด็นปัญหาของพวกเขา เข้ามารณรงค์ ขับเคลื่อนนโยบาย และสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ชอบธรรม และยั่งยืน
เครือข่ายโรงเรียนและภาคประชาสังคมร่วมร่าง "คู่มือธรรมาภิบาลโรงเรียนขนาดเล็ก"
การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่ดีควรเป็นอย่างไร?
ในการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือผู้บริหาร ทั้งในด้านการจัดระบบบริหารงานวิชาการ งบประมาณ งานบุคคล และบริหารงานทั่วไป ให้มีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good governance) หรือธรรมาภิบาลที่ยึดหลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความโปร่งใสและหลักความคุ้มค่า
แต่ในบริบทของโรงเรียนขนาดเล็ก การที่จะคงสถานะความเป็นสถานศึกษาที่พัฒนาผู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ ไม่สามารถพึ่งพาความสามารถเฉพาะบุคคลได้ ดังนั้นการสร้างความร่วมมือจากคนในชุมชนจึงเป็นส่วนสำคัญ สอดคล้องกับแนวคิดสำคัญที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปการศึกษาแห่งชาติ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการจัดการการศึกษาของทุกภาคส่วน
โครงการ ACCESS School จึงจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคู่มือหลักสูตรธรรมมาภิบาล เมื่อวันที่ 1-2 กันยายน 2566 ณ โรงเรียนบ้านหนองบัวคู และบ้านสวนซุมแซง จ.มหาสารคาม โดยเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมของโรงเรียนขนาดเล็กและองค์กรภาคประชาสังคม จาก 3 ภูมิภาคในการเรียนรู้ ระดมสมอง และถอดประเด็นจากประสบการณ์จริง จนออกมาเป็นร่างคู่มือธรรมาภิบาลโรงเรียนขนาดเล็ก
ขอขอบคุณโรงเรียนบ้านหนองบัวคู นำโดยผู้อำนวยการบุญเรือง ปินะสา ที่เปิดบ้านให้พวกเราเรียนรู้จากต้นแบบการบริหารโรงเรียนอย่างมีส่วนร่วม และนายพูลสมบัติ นามหล้า ผู้อำนวยการสถาบันชุมชนอีสาน มูลนิธิชุมชนอีสาน ที่ให้เกียรติเป็นวิทยากรในเรื่องธรรมาภิบาลและการพัฒนาชุมชนและสังคม
ชมภาพบรรยากาศกิจกรรมได้ด้านล่างนี้
ในทุกความท้าทายคือเรื่องราวที่โรงเรียนต่อสู้เพื่อคงอยู่: เยาวชนโรงเรียนนานาชาติเห็นอะไรเมื่อได้ไปโรงเรียนขนาดเล็ก
เพื่อดำเนินเป้าหมายในการสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มคนที่ถูกลืมและได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำ สำหรับภารกิจด้านการศึกษาและเยาวชน มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ร่วมมือกับสภาการศึกษาทางเลือกไทย และสมาคนไทบ้าน ในโครงการ ACCESS School ชุมชนสร้างโรงเรียน โรงเรียนสร้างชุมชน โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ชนบท ผ่านการส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการบริหารจัดการสถานศึกษาในชุมชนของตนเองและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ
ตั้งแต่ปี 2556 กระทรวงศึกษาธิการเริ่มมีนโยบายแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน นั่นคือการยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำว่า 60 คน หรือควบรวมเข้ากับโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ว่าที่อยู่ในรัศมี 6 กิโลเมตร จุดมุ่งหมายของนโยบายนี้คือการรวบรวม จัดสรรทรัพยากรและงบประมาณเพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทว่า สิ่งที่แนวนโยบายไม่ได้ให้ความสำคัญคือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับนักเรียนและครอบครัว 2 แสนกว่าครอบครัว ที่หลาย ๆ บ้านไม่สามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อต้องส่งลูกหลานไปโรงเรียนที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งสิ่งนี้จำกัดการเข้าถึงการศึกษาของลูกหลานของพวกเขา
ดิฉันมีโอกาสได้เดินทางไปยังจังหวัดมหาสารคาม หนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของโครงการนี้ ร่วมกับมูลนิธิแอ็คชั่นเอดฯ ประสบการณ์ที่มหาสารคามครั้งนี้ทำให้เห็นวิธีที่โรงเรียนขนาดเล็กใช้เพื่อทำให้พวกเขายังคงอยู่หลังจากรัฐมีนโยบายข้างต้น เราไปยังโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 3 โรงเรียนและแต่ละที่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป หนึ่งในโรงเรียนเหล่านี้คือโรงเรียนบ้านหนองบัวคู อำเภอนาดูน ซึ่งมีนักเรียนเพียง 42 คน สิ่งที่น่าสนใจคือการมีส่วนร่วมของชุมชนกับโรงเรียนในระดับที่สูงมาก ชาวบ้านสละเวลามาสนับสนุนโรงเรียนในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การเป็นครูพี่เลี้ยง แม่ครัว ไปจนถึงการทำเกษตร เรายังพบคุณยายท่านหนึ่งขณะที่ท่านกำลังกวาดใบไม้บนทางเดิน ท่านบอกว่าที่อาสามาช่วยทำความสะอาดโรงเรียนนั้นเพราะอยากให้เด็ก ๆ อยู่ในพื้นที่ที่สะอาดและสวยงาม
ขณะเดียวกัน ประสบการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เห็นความท้าทายที่ทุกโรงเรียนประสบ นั่นคือปัญหาขาดแคลนครู เห็นได้ชัดจากการที่ครูคนหนึ่งมักจะต้องสอนหลายวิชา และสอนนักเรียนควบชั้นกัน
แต่ในทุกความท้าทายคือเรื่องราวที่โรงเรียนขนาดเล็กต่อสู้เพื่อคงอยู่ต่อไป แม้จะพบปัญหาดังกล่าว เราก็เห็นการพัฒนาด้านการสอนหลังจากที่โรงเรียนได้ปรับใช้หลักการ Active Learning เข้ากับหลักสูตร Active Learning คือกระบวนการที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับขั้นตอนการเรียนรู้ โดยผ่านทั้งการพูดคุยแลกเปลี่ยนและการประยุกต์ใช้ความรู้ของตนผ่านการปฏิบัติ ซึ่งจะเอื้อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกันและกันด้วย คุณครูโรงเรียนบ้านหนองบัวคูได้ปรับใช้นวัตกรรมและแนวคิดต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่แทนการสอนแบบท่องจำผ่านหนังสือ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ผู้เรียนตื่นตัว มีส่วนร่วมในคาบเรียน และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเองมากขึ้น หลักสูตรของโรงเรียนยังปรับใช้หลักการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสอนผู้เรียนให้มีทักษะชีวิตสำคัญอย่างการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ การเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ลงมือทำและมีส่วนร่วมแบบนี้ทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์และมีมุมมองเป็นของตนเอง
นอกจากการเรียนรู้แบบ Active Learning นอกห้องเรียน หลักสูตรของโรงเรียนบ้านหนองบัวคูยังได้รับโมเดลของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามาใช้ โมเดลดังกล่าวที่มีนวัตกรรม “จิตศึกษา” เป็นตัวนำนั้น ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภายในของเด็ก ทั้งด้านอารมณ์ สังคม และความฉลาดทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน เมื่อกรอบการเรียนรู้ได้ปรับใช้หลักการเหล่านี้เข้าไป ผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์เรียนรู้แบบองค์รวม ซึ่งมากไปกว่าความรู้เชิงวิชาการ
เรามีโอกาสสัมภาษณ์ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษา มหาสารคาม เขต 2 ว่าที่ร้อยตรีสุรสิทธิ์ ถิตย์สมบูรณ์ โดยผอ.ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมถึงแนวทางที่ครูสามารถส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นพลเมืองเชิงรุกของโลก หรือ global citizen ว่าที่ร้อยตรีสุรสิทธิ์ยังเห็นถึงผลลัพธ์และคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการที่แอ็คชั่นเอด โรงเรียน ชุมชน และภาคประชาสังคมทำงานร่วมกัน และการสร้างผลกระทบที่มากขึ้นและยั่งยืน
เรายังได้ทำความรู้จักกับนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองบัวคู ที่แรกเริ่มไม่ค่อยกล้าตอบคำถามหรือทำกิจกรรมกับทีมงานซึ่งเป็นยังเป็นคนแปลกหน้า แต่หลังจากที่เล่นเกมละลายพฤติกรรมด้วยกัน พี่ ๆ ทุกคนก็เริ่มแสดงความเป็นตัวเองออกมา ยิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกัน พี่ ๆ นักเรียนทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน ไม่ว่าจะพาดูแปลงเกษตร เยี่ยมเล้าหมูป่า ชวนเล่นวอลเลย์บอล หรือชิมอาหารท้องถิ่นที่พี่ ๆ มีส่วนร่วมในการเตรียม สิ่งที่น่าสนใจคือทักษะภายในของแต่ละคน ขณะที่เล่นวอลเลย์บอลด้วยกันและเจอเรื่องท้าทาย รับบอลหรือส่งบอลไม่ได้ ทุกคนจะให้กำลังใจกันตลอด เช่น พูดว่า “ไม่เป็นไร รอบหน้าเอาใหม่” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ที่โรงเรียน ผู้เรียนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และรู้จักให้กำลังใจกันในช่วงเวลากดดัน
คุณครูโรงเรียนบ้านหนองบัวคูท่านหนึ่งบอกกับเราว่า หลังจากที่ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรของโรงเรียน เธอเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความคิดเห็นของพวกเขา การเรียนการสอนแบบ Active Learning ที่คำนึงถึงทักษะภายนอกและปัญญาภายไม่เพียงเอื้อให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้น แต่ยังรับฟังเด็กและเสริมพลังให้เด็กทั้งชายและหญิงมีความเป็นผู้นำตั้งแต่เล็ก แนวทางที่สร้างความสมดุลทางเพศเช่นนี้เป็นก้าวสำคัญของโรงเรียนไทย ที่ได้สร้างบรรยากาศการเรียนรู้แบบสากลและให้ประสบการณ์รอบด้าน
ในการนำประสบการณ์จากการลงพื้นที่ครั้งนี้มาช่วยแก้ปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็ก สิ่งสำคัญคือการมีพื้นที่ให้องค์กรต่าง ๆ ที่มีส่วนหนุนเสริมโรงเรียนขนาดเล็กได้สร้างการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นนี้ในวงกว้าง และได้สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง เราสามารถเริ่มต้นได้ในโรงเรียนและเครือข่ายโรงเรียน อย่างการจัดตั้งชมรมที่นักเรียนสามารถมีส่วนช่วยระดมทุนหรือลงมือพัฒนาโรงเรียนในด้านต่าง ๆ ตามความเหมาะสมของระดับชั้น สิ่งนี่จะทำให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้ถึงการมีส่วนร่วมและความท้าทายที่โรงเรียนของเขาหรือเพื่อนต่างโรงเรียนกำลังเจอ กิจกรรมนี้จะสร้างความรู้สึกรับผิดชอบร่วมกันและส่งเสริมให้นักเรียนกล้าสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมและระบบการศึกษาของพวกเขา นอกจากนี้ ดิฉันคิดว่าโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่เพียงพอหรือต้องการพัฒนาการเรียนการสอน สามารถเรียนรู้จากโมเดลของโรงเรียนหนองบัวคู ซึ่งใช้นวัตกรรมรับมือกับข้อจำกัดและพัฒนาโรงเรียนตามบริบทความต้องการของตัวเอง ดิฉันเองยังอยากให้การใช้นวัตกรรมแบบโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโรงเรียนอื่น ๆ รวมถึงโรงเรียนของดิฉัน แนวทางของจิตศึกษาจะช่วยพัฒนาให้คนรุ่นใหม่เคารพตัวเอง เคารพซึ่งกันและกัน รู้จักรักษาความสัมพันธ์และรับมือกับความขัดแย้ง เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตนเองและสิ่งต่าง ๆ และทำให้พวกเขามีสุขภาวะรอบด้าน ทั้งกายและใจ ในบ้าน ที่โรงเรียน และโลกภายนอกเมื่อโตขึ้น
บทความนี้เขียนโดย ไกอา บรูโน นักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ด้วยความสนใจในประเด็นการศึกษาและความเท่าเทียมทางเพศ เธอจึงเลือกมาฝึกประสบการณ์ที่มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นเวลา 1 เดือน
ภาคประชาสังคมผนึกกำลังเปิดตัวสภาพัฒนาการศึกษามหาสารคาม สร้างความร่วมมือแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) สมาคมไทบ้าน และสภาพัฒนาการศึกษามหาสารคาม ภายใต้โครงการแอ็คเซส สคูล (ACCESS School) ชุมชนสร้างโรงเรียน โรงเรียนสร้างชุมชน ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 2 จัดเวทีเสวนาพหุภาคีจังหวัดมหาสารคาม ณ โรงเรียนบ้านหนองบัวคู อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น พร้อมผนึกพลังความร่วมมือผ่านการเซ็น MOU ร่วมพัฒนา 25 โรงเรียน
นายสุรสิทธิ์ ถิตย์สมบรูณ์ ผู้อำนวยการ สพป. มหาสารคามเขต 2 เป็นประธานเปิดเวทีเสวนา โดยมีนายบุญเรือง ปินะสา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองบัวคูและประธานสภาพัฒนาการศึกษามหาสารคามเป็นผู้กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี
นายบุญเรืองกล่าวว่า เวทีเสวนาในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เป็นพื้นที่ปรึกษาหารือด้านการศึกษาในการสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมและประสานให้เกิดการปรับปรุงด้านการศึกษาในระดับจังหวัด ระหว่างองค์กรภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐท้องถิ่น หน่วยงานทางด้านการศึกษา ภาคเอกชน และคณะกรรมการสถานศึกษา และชุมชน (2) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมด้านการศึกษาในแนวการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Active Learning) ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางต่อหน่วยงานรัฐท้องถิ่น หน่วยงานทางด้านการศึกษา ภาคเอกชน คณะกรรมการสถานศึกษา ชุมชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุน และ (3) เพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์กรภาคประชาสังคมในการทำงานขับเคลื่อนประเด็นการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบและการบริหารที่โปร่งใสมีส่วนร่วม และสร้างความร่วมมือกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ที่ผ่านมา เครือข่ายผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กและภาคประชาสังคมในจังหวัดมหาสารคามได้รับการหนุนเสริมจากสมาคมไทบ้าน มาตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ภายใต้สภาการศึกษาเพื่อปวงชน ภาคอีสาน เพื่อนำหานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมมาใช้พัฒนาคุณภาพผู้เรียนและสร้างวิถีแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียนและชุมชน ต่อมาในปี 2563 เครือข่ายได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแอ็คเซส สคูล โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและมูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) และมีมหาสารคามเป็นหนึ่งในพื้นที่ดำเนินโครงการ เครือข่ายฯ ดำเนินงานเป็นหน่วยประสานงานและเชื่อมโยงเครือข่ายโรงเรียนใน จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ และได้รับการส่งเสริมศักยภาพเรื่อยมาจนกระทั่งในปี 2566 มีการจัดตั้ง “สภาพัฒนาการศึกษามหาสารคาม” อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาผ่านมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม โดยการปรับใช้นวัตกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะกับบริบทของโรงเรียนและชุมชน เช่น จิตศึกษา ศาสตร์พระราชา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) และชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) เป็นต้น ปัจจุบัน สภาฯ มีเป้าหมายโรงเรียนจำนวน 35 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบ จำนวน 2 แห่ง โรงเรียนขยายผลนวัตกรรม 14 แห่ง และโรงเรียนที่เตรียมการขยายผล 19 แห่ง
เพื่อแสดงเจตจำนงความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชนในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา สภาพัฒนาการศึกษามหาสารคาม สมาคมไทบ้าน มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 2 ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับโรงเรียนขนาดเล็กและกลางจำนวน 25 แห่ง เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการแอ็คเซส สคูล อาทิ การอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา การสร้างความร่วมมือเชิงนวัตกรรมและเชิงสร้างสรรค์ระหว่างโรงเรียน ชุมชน องค์กรภาคประชาสังคม คณะกรรมสถานศึกษา และหน่วยงานรัฐท้องถิ่น การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และการติดตามและประเมินผล
โรงเรียนที่ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ได้แก่ โรงเรียนบ้านหนองกุง โรงเรียนบ้านหนองบัวกุดอ้อ โรงเรียนบ้านเสือโก้ก โรงเรียนบ้านโนน โรงเรียนชุมชนบ้านงัวบา โรงเรียนบ้านดู่ โรงเรียนบ้านแวงชัยโคกหนองโจด โรงเรียนโนนจานวิทยา โรงเรียนบ้านสระบาก โรงเรียนบ้านตลาดโนนโพธิ์ โรงเรียนบ้านกุดนาดีโนนลาน โรงเรียนบ้านหนองหิน โรงเรียนบ้านหนองจิก โรงเรียนบ้านหนองบัวคู โรงเรียนบ้านหนองแสน โรงเรียนบ้านดู่หนองโกโนนสมบูรณ์ โรงเรียนบ้านสระแคน โรงเรียนบ้านเก่าน้อยป่าชาดโนนเพ็ก โรงเรียนบ้านโนนจาน โรงเรียนบ้านโนนเห็ดไค โรงเรียนบ้านหนองคลองใหม่หัวนาคำ โรงเรียนบ้านกระยอมหนองเดิ่น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 17 โรงเรียนบ้านหนองคูม่วง โรงเรียนบ้านหนองหว้า
ติดตามความคืบหน้าของโครงการแอ็คเซส สคูล และกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ทาง facebook.com/access.school.project และ actionaid.or.th
เกี่ยวกับโครงการแอ็คเซส สคูล (ACCESS School)
มูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย ร่วมกับสภาการศึกษาทางเลือกไทย และสมาคมไทบ้าน ภายใต้การสนับสนุนทุนการดำเนินโครงการโดยสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา (Active Civil Society for Quality Education of Small Schools หรือ ACCESS School) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม และพัฒนาศักยภาพชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการโรงเรียนในชุมชนมากขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม น่าน กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถจ่ายได้ ผ่านการปรับใช้ “โมเดลโรงเรียนขนาดเล็ก” เพื่อให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมและการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งถึงสิทธิและบริบทพื้นฐานของเด็กในชุมชนนั้น ๆ โดยยึดแนวทางการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active Learning) ซึ่งโครงการนี้จะมีระยะเวลาการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 4 ปี (พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2566)
โครงการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรภาคประชาสังคมพร้อมด้วยเครือข่าย ในการสนับสนุนแนวทางการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active Learning) ในสถานศึกษาและส่งเสริมความเป็นพลเมือง และส่งเสริมให้มีบทบาทในนโยบายและการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับชาติมากยิ่งขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมในท้องถิ่นที่ได้รับการเพิ่มขีดความสามารถแล้ว จะทำงานส่งเสริมความร่วมมือระหว่างชุมชน โรงเรียน และหน่วยงานรัฐท้องถิ่น โดยการทำงานผ่านคณะกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนที่มากขึ้นในการบริหารจัดการสถานศึกษาและหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียน ทั้งยังมุ่งหนุนเสริมโรงเรียนและโครงสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นให้ยอมรับการมีส่วนร่วมของสตรีในกระบวนการตัดสินใจที่มากขึ้นอีกด้วย
เกี่ยวกับสหภาพยุโรปในประเทศไทย (European Union in Thailand)
สหภาพยุโรป (อียู) เป็นการรวมตัวในลักษณะสหภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศในทวีปยุโรป มีสมาชิกในปัจจุบันจำนวน 27 ประเทศ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันสร้างภูมิภาคที่มีความมั่นคง เป็นประชาธิปไตย และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก เปิดกว้างในการยอมรับซึ่งกันและกัน และเคารพเสรีภาพของประชาชน ในปี 2555 (ค.ศ. 2012) สหภาพยุโรปได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เนื่องจากเป็นองค์กรที่ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ ความสมานฉันท์ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนในยุโรป
สหภาพยุโรปเป็นสมาคมทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นแหล่งทุนและเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกยังเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance) รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่มูลค่าการให้ความช่วยเหลือรวมกันเกินครึ่งหนึ่งของยอดรวมทั้งโลก
เกี่ยวกับมูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
มูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 โดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นให้ประชากรที่ประสบความยากจนและการกีดกันทางสังคม พัฒนาศักยภาพด้านสิทธิมนุษยชน เป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วม และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของตน องค์กรเชื่อในพลังของผู้คนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเองและสังคม จึงสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกกีดกันทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิง เยาวชน และคนยากจน ตระหนักถึงศักยภาพของตน เข้าใจในสิทธิ์ที่ตนพึงจะมี และใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี
แอ็คชั่นเอดทำงานเป็นพันธมิตรร่วมกับชุมชน องค์กรประชาสังคม กลุ่มและเครือข่ายผู้หญิง กลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคม สถาบันการศึกษาและการวิจัย หน่วยงานรัฐในระดับต่างๆ สื่อ ฯลฯ และขยายผลโครงการของเราในระดับท้องถิ่น การจับมือกับพันธมิตรและรวมพลังเป็นหนึ่ง เปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่เคยถูกละเลยและกีดกัน สามารถนำเสนอประเด็นปัญหาของพวกเขา เข้ามารณรงค์ ขับเคลื่อนนโยบาย และสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ชอบธรรม และยั่งยืน
“ปราชญ์ชาวบ้าน” ความร่วมมือของชุมชนในการรับมือปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและสร้างพื้นฐานทักษะชีวิตที่แข็งแกร่ง
เราทราบกันดีว่าการจ่ายงบประมาณรายหัวและการกำหนดอัตรากำลังครูตามจำนวนนักเรียน ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากที่มีเด็กน้อยกว่า 120 คน ไม่สามารถมีครูสอนครบชั้น และไม่มีงบสำหรับจ้างครูเพิ่มเอง เป็นเหตุให้ครูหนึ่งคนต้องดูแลเด็กแบบควบชั้น สอนหลายวิชา รวมทั้งทำหน้าที่อื่น ๆ ในโรงเรียนสารพัดอย่างตั้งแต่งานธุรการไปจนถึงโภชนาการ
ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เรื่อง การปฏิรูปงบประมาณเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่า โรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลต้องการครูเพิ่มอีกประมาณ 4,822 คน เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนชั้นเรียน
ท่ามกลางความท้าทายด้านงบประมาณและทรัพยากรบุคคล โรงเรียนขนาดเล็กมีแนวทางการรับมือสถานการณ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่หลากหลายเพื่อให้เปิดสอนต่อไปได้ หนึ่งในการบริหารจัดการที่โดดเด่นของโรงเรียนขนาดเล็กในภาคอีสานที่โครงการ Access School ทำงานด้วยนั้นคือการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนในฐานะผู้ให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรม "การศึกษาบนฐานชุมชน" ที่นักเรียนและชุมชนร่วมออกแบบฐานความรู้นอกห้องเรียนที่สนใจ หรือการมีส่วนร่วมของชุมชนในฐานะ "ครูอาสา" หรือ "ปราชญ์ชาวบ้าน" ที่มาช่วยเติมเต็มการสอนกลุ่มสาระวิชาหลักและทักษะชีวิตที่โรงเรียนทุกสัปดาห์
วันนี้เราพามารู้จักครูอาทิตย์ นนทะนำ ปราชญ์ชาวบ้านของโรงเรียนบ้านหนองตอกแป้นวิทยา โรงเรียนขยายโอกาสในอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ครูอาทิตย์เชี่ยวชาญด้านการเกษตรผสมผสานที่สั่งสมประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริงและการอบรมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปลูกผักปลอดภัย โรคพืช และการบำรุงพืช
ครูอาทิตย์เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนบ้านหนองตอกแป้นวิทยา เพราะรู้จักกับผู้อำนวยการและครูที่โรงเรียนอยู่แล้ว คือผอ.ศิรารัตน์ นาถมทอง และครูรุ่งบุรี ผิวพัน ครูประจำกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เดิมทีครูรุ่งบุรีดูแลวิชาการเกษตรด้วย แต่เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้และปรับใช้ทักษะทางการเกษตรอย่างเต็มประสิทธิภาพ โรงเรียนจึงทาบทามครูอาทิตย์เข้ามาสอน
ครูเล่าว่าช่วงแรกมีความกังวล เพราะเด็กหลายคนมีแนวคิดเกี่ยวกับวิชาการเกษตรที่ไปในทางลบ คือกลัวร้อน กลัวเหนื่อย กลัวสกปรก เมื่อเข้ามาสอนจริงก็เห็นว่านักเรียนยังไม่ค่อยให้ความสนใจ กิจกรรมที่ให้ทำอย่างเช่นสอนการเพาะผัก เอาดินปลูกใส่แปลง เด็กก็จะไม่ให้ความร่วมมือนัก เพราะกลัวเปื้อน ไม่กล้าจับดิน แต่ครูอาทิตย์ก็เข้าใจว่ายังไม่เห็นภาพ จึงแก้ปัญหาด้วยการบอกส่วนประกอบของดินที่ใช้ว่ามาจากไหน ไม่ใช่มูลสัตว์หรือสิ่งสกปรก และให้ข้อมูลว่าดินคือสิ่งที่สำคัญในการเพาะปลูกผัก เป็นจุดเริ่มต้นของความงอกงาม เมื่อเข้าใจก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง เริ่มยอมรับและลงมือทำด้วยตัวเอง จากนั้นครูอาทิตย์ก็สร้างแรงจูงใจต่อด้วยการปลูกผักที่ดูสวยงาม พอเริ่มเติบโตหรือเก็บผลผลิตได้ ก็ให้นักเรียนถ่ายรูปแปลงผักเพื่อแชร์ในหน้าเฟซบุ๊กของแต่ละคน สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานของพวกเขาเอง
เป็นความคาดหวังของครูอาทิตย์ที่อยากให้วิชาการเกษตรเป็นเหมือนพื้นฐานการสร้างอาชีพ "การเรียนด้านวิชาการสำคัญ ด้านการดำรงชีวิตก็สำคัญ ที่เรามาต่อยอดองค์ความรู้ให้เด็ก ๆ เพราะอยากให้มีพื้นฐานไว้" ครูอาทิตย์กล่าว นักเรียนบางคนอาจไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับมัธยมปลายหรืออุดมศึกษา บางคนอาจจะไม่ได้รับราชการหรือทำงานบริษัท แต่สามารถเอาทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ หรืออย่างน้อยเป็นส่วนหนึ่งในการลดรายจ่ายให้กับครอบครัว เพียงเท่านี้ ครูอาทิตย์ถือว่าความพยายามที่ลงไปนั้นได้ออกผลแล้ว "ลูก ๆ ที่ได้นำความรู้ไปใช้ที่บ้านก็กลับมาเล่าสู่กันฟังว่าเอาที่เราสอนไปใช้จริงนะ บางคนก็นำผักมาโชว์เพื่อนว่าปลูกได้แล้ว"
สำหรับครูอาทิตย์ การศึกษาในโรงเรียนและการเกษตรคือพื้นฐานของชีวิต อย่างแรกทำให้เจริญงอกงามทางวิชาการ เรียนรู้จากสาขาหนึ่งไปสู่สาขาหนึ่ง ส่วนการเกษตรทำให้เจริญงอกงามในการดำรงชีวิต เป็นรากที่แข็งแกร่งของอาหารการกินและความอยู่รอด อย่างสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในช่วงโควิด-19 ระบาดนั้นให้เห็นแล้วว่าความมั่นคงทางอาหารสำคัญต่อชีวิตมากเพียงใด การเกษตรและการสร้างอาหารเองได้จึงเป็นทักษะที่จำเป็นและควรได้รับการส่งเสริมในชุมชนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโรงเรียนบ้านหนองตอกแป้นวิทยาก็เห็นความสำคัญในข้อนี้และเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการความมั่นคงทางอาหารโดยมีโรงเรียนและชุมชนเป็นฐาน ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพยุโรปและมูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
เมื่อถามถึงความรู้สึกหลังได้เข้ามาเป็นครู ครูอาทิตย์กล่าวว่า "รู้สึกมีความภาคภูมิใจที่ได้ขยายองค์ความรู้ตัวเองเพื่อต่อยอดให้ลูกหลานของชุมชนนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและโรงเรียนของเรา"
"อยากฝากให้นักเรียนที่มีทักษะติดตัวไปแล้วขยายผลต่อที่ผู้ปกครอง ครอบครัว คนอื่น ๆ ต่อไป เด็กทุกคนในวันนี้ต่างเป็นกล้าที่งดงามและอนาคตของชุมชน"
“สิ่งที่สำคัญคือเรามีความสุข”: พี่ ป.6 ย้อนมองประสบการณ์ในโรงเรียนขนาดเล็กที่ใช้นวัตกรรม
การจัดการศึกษาแบบองค์รวมในรูปแบบ "โมเดลโรงเรียนขนาดเล็ก" ของโครงการ ACCESS School นั้นนำนวัตกรรม Active Learning ที่จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมาปรับใช้ในหลักสูตร ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพของการเรียนการสอนท่ามกลางข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและบุคลากร ซึ่งนับเป็นความท้าทายที่โรงเรียนขนาดเล็กในประเทศไทยต้องประสบ
ที่โรงเรียนวัดโคกทอง โรงเรียนขนาดเล็กในอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี นวัตกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning หรือ PBL) และจิตศึกษาถูกนำมาใช้ในห้องเรียน แทนที่ตารางสอนของโรงเรียนจะมี 8 กลุ่มสาระวิชาอย่างในโรงเรียนรัฐทั่วไป นักเรียนวัดโคกทองจะได้เรียน 3 วิชาหลัก ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ตามขนบ ส่วนวิชาอื่น ๆ อย่างวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา และศิลปะ จะถูกนำมาจัดการเรียนรู้เป็น "หน่วย PBL" ที่ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เน้นการลงมือปฏิบัติของผู้เรียน และนำความรู้แต่ละสาขาวิชามาเชื่อมโยงกัน
หาก PBL เปรียบเสมือนมันสมองของหลักสูตรนี้ จิตศึกษาก็เป็นดั่งหัวใจ หรือ "จิต" ทุกวันก่อนเริ่มการเรียนรู้ในภาคเช้าและบ่าย นักเรียนโรงเรียนวัดโคกทองแต่ละระดับชั้นจะนั่งล้อมวงร่วมกับคุณครูในห้องของตัวเอง ครูจะเป็นผู้นำกิจกรรมจิตศึกษารูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่เพียงทำให้นักเรียนมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ แต่ยังเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และความฉลาดทางจิตวิญญาณ (SQ) อีกด้วย กิจกรรมที่ใช้ในช่วงจิตศึกษานั้นได้แก่ การฝึกสมาธิ การยืดเหยียดโยคะ เกมเบรนยิม การเล่าเรื่อง การถกถามและสนทนากลุ่ม เมื่อเรื่องเล่าหรือข่าวถูกใช้เป็นตัวชงในกิจกรรม ครูมักจะขอให้นักเรียนเขียนความรู้สึกหรือความคิดเห็นลงในสมุดจิตศึกษาประจำตัวหลังจากที่ได้ฟังเรื่อง หากใครอยากอาสาเล่าสิ่งที่เขียนให้เพื่อน ๆ ฟัง ครูก็จะเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนและขอบคุณในความกล้าของนักเรียน

ในวันที่เราได้พูดคุยกับพี่นักเรียนชั้น ป.6 หวานและติ๊ก พวกเธอเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ในฐานะพี่ใหญ่ของโรงเรียนวัดโคกทอง เราขอให้พวกเธอเล่าถึงประสบการณ์ในโรงเรียนที่ "ทั้งเหมือนและแตกต่างจากที่อื่น" ที่ได้ร่ำเรียนมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมาแห่งนี้ หวานบอกว่า "วิธีการสอนของที่นี่อาจจะแตกต่าง แต่ก็มีความรู้เท่าเทียมกับโรงเรียนอื่น นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียนจริง ๆ หนูคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือการที่เรามีความสุข" ด้านติ๊กเสริมว่า "แทนที่จะเปรียบเทียบโรงเรียนนี้กับโรงเรียนอื่น หรือเปรียบเทียบขนาดของโรงเรียน เราควรดูสิ่งที่โรงเรียนทำ ว่ามีประโยชน์ต่อครู นักเรียน พ่อแม่ หรือเปล่า ควรคิดว่าโรงเรียนเราเหมาะแล้วที่จะมีเด็กมาเรียน โรงเรียนเราไม่ต้องมีชื่อเสียงมาก ขอแค่เด็กมีความรู้ติดตัวกลับไปบ้าน ไปใช้ในอนาคตก็พอแล้ว"
แต่หากจะทำให้เห็นภาพว่าแนวทางการสอนของโรงเรียนส่งผลต่อหวานและติ๊กอย่างไร การเปรียบเทียบคงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หวานเล่าว่าก่อนที่จะย้ายมาเรียนที่โรงเรียนวัดโคกทองตอน ป.4 เธอเป็นคนขี้อายมาก แต่พอได้ทำกิจกรรมจิตศึกษา อยู่ในวงสนทนาที่ครูรับฟัง ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด หรือการตัดสินกัน หวานรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะแสดงความคิดเห็นและพูดต่อหน้าผู้คน "หนูเคยไม่กล้าถามคำถามเลย แต่ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าถ้าไม่ถาม ก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่เรียนและพัฒนาตัวเองได้"
ติ๊กเล่าว่าจิตศึกษาสอนให้เธอมองเห็นมากกว่าตนเองและเข้าใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของเธอ "อย่างเวลาทำตัวกับน้องหรือการทำงานบ้าน พอหนูได้มาเรียนจิตศึกษา หนูก็ได้รู้ว่าถ้าทำเรื่องนี้ได้ดีก็น่าจะแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ หนูรู้ว่าพวกท่านอาจจะไม่อยู่กับเราตลอดไป ก็ควรช่วยท่านและฝึกฝนความรับผิดชอบของตัวเอง"

สำหรับ PBL หรือการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ติ๊กบอกว่า แต่ก่อนเธอไม่ค่อยชอบทำงานในคาบเรียน หรือเวลามีการบ้านก็จะ "ดองไว้" แต่เมื่อได้ลงมือปฏิบัติจริงกับหน่วยเนื้อหาที่หลากหลาย เธอตัดสินใจลองทำดูเพราะอาจจะทำได้ดีก็ได้ ผลที่ออกมาคือทั้งทำได้ดีและสนุก "หนูชอบหน่วยที่เกี่ยวหลักการทางวิทยาศาสตร์และอวกาศเป็นพิเศษ เรียนกับ PBL ทำให้ได้ตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ และได้ค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง"
"ถ้าเป็นไปได้หนูอยากเรียนแบบนี้ไปจนจบ ม.6 เลย" ติ๊กพูดต่อ "แต่ถ้าโรงเรียนมัธยมที่ไปเรียนต่อไม่สอนแบบนี้ หนูก็จะปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ทบทวนว่าจิตศึกษาที่เคยเรียนมามีประโยชน์กับเราหรือเปล่า ถ้ามี เราก็ต้องดูว่ามันจะช่วยเรายังไงได้บ้าง"
สุภัทรา สุทธิ: จากครูแกนนำสู่ผู้นำสถานศึกษา ที่สร้างพลังร่วมและเพาะเมล็ดแห่งความเท่าเทียม
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเท่าเทียมทางเพศ และการส่งเสริมความเป็นผู้นำของสตรี เป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนาการศึกษาและทำให้การศึกษาไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งยังเป็น 2 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจาก 17 เป้าที่ไม่อาจแยกส่วนกันพัฒนาได้
เนื่องในวันสตรีสากลและการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์แห่งความเท่าเทียมทางเพศในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราคุยกับครูแวว–สุภัทรา สุทธิ แห่งโรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือ อ.ภูเพียง จ.น่าน ถึงประสบการณ์การเป็นครูแกนนำโครงการ Access School บทบาทผู้นำผู้หญิง และการปรับใช้สิ่งที่ได้รับจากการพัฒนาศักยภาพภายใต้โครงการฯ ในสนามของการทำงานจริง
ก่อนย้ายมาที่โรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือ ครูแววสอนที่โรงเรียนแม่ขะนิงในอำเภอเวียงสา เนื่องจากโรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือเป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนสอนคิด ของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. น่าน เขต 1 ครูแววจึงได้เริ่มรู้จักเครื่องมือสอนคิดและเริ่มต้นเส้นทางการเป็นครูแกนนำเรื่องนวัตกรรม เธอได้เข้าอบรมการจัดการเรียนการสอนแบบสอนคิดที่โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และเข้ามามีบทบาทในการร่วมวางแผนและดำเนินการกิจกรรมของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. น่าน เขต 1 และได้รับการสนับสนุนจากผู้อำนวยการโรงเรียนให้เป็นครูแกนนำสอนคิด “ตอนแรกก็หวั่น ๆ เพราะไม่ค่อยเข้าใจ” ครูแววกล่าว “รู้สึกว่าปรับใช้เครื่องมือสอนคิดได้ไม่หมด แต่ต่อมามีโอกาสได้ไปอบรมอีก เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มขึ้น และค่อย ๆ ปรับ ค่อยแต่งแนวทางการสอนของโรงเรียนไปทีละน้อย จนต่อมาเราก็เป็นโรงเรียนสอนคิดได้ในบริบทของเรา”
จากครูแกนนำ สู่ผู้นำสถานศึกษา
จากครูที่ได้รับการหนุนเสริมเป็นแกนนำของโรงเรียน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโรงเรียนทำให้เธอได้ก้าวขึ้นสู่บทบาทผู้นำอีกขั้น คือช่วงต้นปี 2565 ที่อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนโรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือลาออก และเธอได้รับมอบหมายโดยเขตพื้นที่การศึกษาให้รักษาการผู้อำนวยการ “แรกเริ่มก็เกิดความหนักใจ เพราะงานหลาย ๆ อย่าง ตำแหน่งผอ.เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เรา เรามีหน้าที่สอน แต่โชคดีที่เราสามารถคุยกับครูที่โรงเรียนและชุมชนว่าทิศทางจะเป็นยังไง จะยุบรวมตามแผนที่เขตกำหนดไหม หรือจะไปต่อ ทั้งครู แม้กระทั่งนักการภารโรงก็บอกว่า เรายังมีกันอยู่ เรายังอยู่กันต่อไปได้”
“ถ้าครูแววสอนคณิตศาสตร์ในคาบไม่ได้จะทำอย่างไร ถ้าช่วงนี้ครูแววไม่อยู่โรงเรียนจะมอบหมายงานกันยังไง สิ่งเหล่านี้เราต้องคุยกัน เราใช้วิธีพูดคุยเสมอ พอมีประเด็นเรื่องงบหรือการจัดการเรียนการสอน พวกเราก็ช่วยกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอนของเด็ก เป็นสิ่งที่ต้องคุยกันรายวัน เราเจอปัญหาปุ๊บก็รีบแก้ในแต่ละวัน”
ครูแววกล่าวว่า หลังจากที่เธอและครูโรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือได้ “รับอาวุธ” ด้านการจัดการเรียนการสอนจากการมีส่วนร่วมกับโครงการ Access School อาทิ เครื่องมือสอนคิด ทักษะสมองของเด็ก (Executive Functions) หรือนวัตกรรมที่ได้เรียนรู้จากเครือข่ายโรงเรียนข้ามพื้นที่อย่าง จิตศึกษา โรงเรียนจะพัฒนาและเติมเต็มระบบให้พร้อมกับภาคเรียนหน้า ซึ่งรวมถึงการเตรียมความพร้อมและฟังเสียงของครูทั้งเก่าและใหม่ “เราจะสร้างวิถีใหม่ ซึ่งจะผ่านการคิดร่วมกันกับทุกคน” ครูแววกล่าว
เมื่อพูดถึงการอบรมพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ครูแววได้เข้าร่วมคือการอบรมเรื่องอำนาจและความเป็นธรรมทางเพศสำหรับครูแกนนำ (School Champion) ของโครงการฯ ครูแววเล่าว่าได้นำสิ่งที่ได้จากการอบรมไปใช้ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน และโดยเฉพาะในจังหวะชีวิตที่ได้รับหน้าที่ผู้นำสถานศึกษา ความรู้และมุมมองใหม่ ๆ จากกระบวนกรผู้เชี่ยวชาญอย่าง อวยพร เขื่อนแก้ว และนัยนา ประไพวงศ์ ช่วยให้เธอเป็นผู้นำที่ดีและทำงานอย่างมีความสุข
“เรื่อง deep listening (การฟังอย่างลึกซึ้งด้วยใจและปราศจากการตัดสิน) จากการอบรม ครูแววเอามาปรับใช้ตั้งแต่ระดับครอบครัว พอเรารู้ว่าการเป็นผู้ฟังที่ดีเป็นยังไง ให้อะไร เราก็เริ่มฟังและใส่ใจกันมากขึ้น ส่วนกับเพื่อนร่วมงานหรือครูรุ่นน้อง ก่อนหน้านี้เราเดินมาด้วยกัน ปรึกษากัน แต่เราอาจจะไม่ได้ฟังความคิดเห็นเขาในบางครั้งเพราะประสบการณ์ที่ต่างกัน แต่หลังอบรม พอมีประชุมหรือพูดคุยกันเราจะฟังน้อง ๆ มากขึ้น คนรุ่นใหม่เขาคิดยังไง แล้วรุ่นเราคิดยังไง เพื่อที่เราจะปรับตัวเข้าหากันเวลาทำงาน เข้าใจกันและเรียนรู้จากกัน มีหลายเรื่องที่เราสอนเขา เขาสอนเรา น้องบางคนอยู่ในชุมชนมานานกว่า ฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องบริบทชุมชนเราก็ต้องฟังเขา”

เมื่อมองบทบาทหน้าที่ของครูแววตอนนี้ การเป็นผู้ฟังที่ดีสำคัญอย่างไร?
“บางครั้งเราฟังแบบไม่ตั้งใจ ไม่ใคร่ครวญ การที่เราจะช่วยเหลือใครหรือทำงานให้สำเร็จ การเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นสำคัญ ถ้าเราไม่ฟังแล้วออกความเห็นในสิ่งที่เราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราอาจจะไม่สามารถคุยกันด้วยเหตุผลและข้อมูล แล้วไม่สามารถเอามาพัฒนางานได้ ถ้าเราเอาแต่จะพูดความคิดของตัวเอง หรือทำงานแบบสั่งการ ‘พี่ว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น’ มันจะเป็นการใช้อำนาจผู้เหนือผู้อื่น และการทำงานจะมีปัญหา เพราะเราคนเดียวอาจจะคิดไม่ครบทุกแง่มุม”
“ตัวครูแววเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ตั้งแต่มาทำหน้าที่รักษาการและเป็นผู้นำคนอื่น เราต้องเป็นคนที่ฟังคนอื่นมากขึ้น การแสดงความเห็นต่าง ๆ เริ่มน้อยลง หรือไม่พูดออกมาโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองก่อน”
“อย่างงานศิลปหัตถกรรมจังหวัดที่โรงเรียนของเราเป็นที่พักสำหรับผู้เข้าร่วม โรงเรียนกลับเข้าสู่สภาพเดิมได้เร็วมากหลังกิจกรรม เพราะเราวางแผนอย่างมีส่วนร่วมมาตลอด ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้น ครูแววว่าหลังงาน 2 วันเรายังต้องเก็บสถานที่กันอยู่ ยังไม่ได้ทำการเรียนการสอน” ครูแววเล่า “พอผลสำเร็จของงานนี้ออกมา เรารู้สึกว่าเราได้ภูมิใจร่วมกัน ไม่ต้องพูดว่าความคิดไหนเป็นของใคร”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่สำคัญไม่แพ้กันคือความสัมพันธ์ระหว่างครู-นักเรียน การฟังอย่างลึกซึ้งและใคร่ครวญคือจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างพลังและศักยภาพในตัวเด็ก “ยิ่งเป็นเด็กที่ถูกรังแก เวลาที่เขาพูดอะไรเกี่ยวกับครอบครัว ตัวเอง หรือเพื่อน เรารับฟังเขามากขึ้น ใส่ใจเขามากขึ้น” ครูแววกล่าว “เด็กจะรู้สึกว่าครูก็ใส่ใจเรานะ ครูเองก็รู้สึกเบาขึ้นและมุมมองที่มองเด็กก็เปลี่ยนไป ไม่ได้ตัดบทหรือเบรกความคิดหรือเบรกสิ่งที่เขาอยากพูด สิ่งที่เขาพูดนั้นมีที่มามีเหตุผลไม่แพ้กับที่ผู้ใหญ่พูด”
Power sharing
รูปแบบการสอนและการวัดผลแบบเดิม ๆ ของการศึกษาไทย ส่งผลให้เด็กถูกแบ่งออกเป็น “เด็กเก่ง” กับ “เด็กหลังห้อง” ครูแววมองว่าแนวทางเดิมของเธอเป็นการผลิตซ้ำระบบนั้น “เดิมเราอาจจะมองว่าคนนี้เก่ง ปานกลาง หรืออ่อน เราให้เด็กที่อ่อนทำแบบฝึกหัดที่ต่างจากคนอื่น” เธอเล่า “แต่ตอนหลังเรามองว่า ต้อง empower ให้เขาทำไปพร้อม ๆ กัน ให้เขามีความรู้สึกมีส่วนร่วมและทำสำเร็จได้เหมือนกัน ไม่มีความรู้สึกแปลกแยก เขาจะทำได้มากข้อเท่าเพื่อนหรือไม่ก็ลองก่อน แล้ววิชาของครูแววคือคณิตศาสตร์ ซึ่งความเข้าใจของคนเรามันไม่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่เข้าใจ เราก็ต้องหาวิธีทำให้เขาเข้าใจ เมื่อมุมมองตรงนี้เปลี่ยน เราเลยรู้สึกว่าแคร์ความรู้สึกเด็กมากขึ้นไปอีก เข้าใจความรู้สึกเขามากขึ้น”
หลัก empowerment (การเสริมพลัง) และ power sharing (การสร้างอำนาจร่วม) เป็นสิ่งที่ครูแววนำมาปรับใช้ในองค์กรเช่นกัน เพราะโรงเรียนไม่มีตำแหน่งผู้บริหาร ทุกคนจึงต้องทำงานไปด้วยกันอย่างเพื่อนร่วมทาง ไม่มีใครเป็นหัวของใคร และมีชุมชนเป็นที่ปรึกษา
“เริ่มจากการช่วยกันตัดสินใจและแบ่งหน้าที่ เราวางแผนล่วงหน้าสองวันให้รู้ว่าใครไปทำอะไร เวลาไหน อย่างวันนี้คุณครูคนหนึ่งไปอบรมช่วงบ่าย เราก็จะคุยสรุปกันว่าให้เขาสอนอนุบาลก่อน พอช่วงบ่ายนักเรียนหลับ ก็ไปอบรมและเอางานที่โรงเรียนต้องส่งเขตพื้นที่ฯ ที่ติดไปด้วย เพราะมันไม่จำเป็นต้องเป็นผอ.คนเดียวที่เป็นคนไปส่งงาน”
“การแบ่งงานกันอย่างเชื่อมั่นทำให้เราเก่งขึ้นด้วย อย่างครูอนุบาลคนนั้น เดิมทีเป็นครูธุรการทำแต่เรื่องเอกสาร พอโรงเรียนเราขาดครู เขามาช่วยดูเด็กอนุบาลด้วยความเต็มใจ จนเดี๋ยวนี้เป็นหัวหน้าครูอนุบาลแล้ว เขาได้มาใช้ความสามารถที่มีและเรียนรู้เพิ่มจนทำได้”
จากจุดเริ่มต้นในระดับบุคคล วันนี้ โรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือเป็นองค์กรที่มี power sharing สูง “ครูแววจะไม่มองว่าใครเป็นอัตราจ้าง ใครคือพนักงาน ครูวิกฤติหรือครูพี่เลี้ยง เราทำงานไปด้วยกัน โรงเรียนคือบ้านที่เราอยู่ด้วยกันนานมาก เกือบ 10 ชั่วโมงต่อวัน นี่คือที่มาของความสุขในการทำงาน คือบางวันก็มีเรื่องเครียด แต่ไม่ได้มาจากความขัดแย้งกันนะ เราเครียดกับเนื้องานและการวางแผนการทำงาน จะทำอะไรอย่างไร แต่พอเราไม่มีเรื่องตำแหน่งใครใหญ่ ใครตาม เป็นกรอบให้กัน เรามาทำงานไปด้วยกัน ช่วยกัน มันผ่านไปได้”
“เชื่อไหมว่า แรก ๆ ครูแววไม่กล้านั่งหัวโต๊ะเลย หวั่นใจว่าพอเราพูดอะไรไป เขาจะฟังเราไหม ให้เกียรติเราไหม หลังจากได้เป็นผู้ฟัง ได้แลกเปลี่ยนกัน ได้ความรู้เรื่องความเท่าเทียม อำนาจ หรือวิธีการทำงาน ณ วันนี้ครูแววรู้สึกมีความสุขกับการทำงาน และสบายใจขึ้น เราคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน อยู่เรือลำเดียวกันละ เราจะพาเรือลำนี้ไปด้วยกันยังไงมากกว่า พอเราทำงานแบบนี้เรารู้สึกไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยที่จะต้องมาคอยพะวงว่าเขาจะฟังเราไหม จะปฏิบัติกับเรายังไง ไม่เกร็งเรื่องนั้นเลย”
ครูแววเคยคิดไหมว่าถ้าโรงเรียนได้ผอ.ใหม่ จะเป็นอย่างไร?
"ครูแววเชื่อมั่นในเรื่องระบบนะ” เธอตอบ “ระบบสำคัญกว่าคน ถ้าเราสร้างระบบที่ดีอยู่ตรงนี้แล้ว เมื่อผู้นำคนอื่นเข้ามา เราก็เชื่อว่าเขาน่าจะเห็นและให้เกียรติเรา แต่ถ้าเขาคิดจะเปลี่ยน และเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราก็พร้อมเปลี่ยน แต่ถ้าไปในทิศทางที่อาจมีปัญหา เราก็ต้องคุยกัน ให้ข้อมูลกัน เมื่อครูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในแง่นี้ ครูแววเชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่นอน”
สู่การปลูกฝังความเท่าเทียม
ความเข้าใจผ่านการฟัง และความเข้าใจเรื่องอำนาจ ช่วยให้เราเห็นที่มาของความไม่เท่าเทียมและความรุนแรง ซึ่งจะนำไปสู่การรับมือ-ป้องกัน และแนวทางที่จะเลิกผลิตซ้ำอคติและความรุนแรง ในฐานะครูแกนนำโครงการ Access School ครูแววจะมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตรความเป็นธรรมทางเพศ ที่จะถูกทดลองใช้ในโรงเรียนต้นแบบ เพื่อเป็นโมเดลสำหรับการขยายผลสู่โรงเรียนอื่น ๆ ส่งผลให้ห้องเรียน โรงเรียน ครอบครัว และชุมชนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ทุกคน
“ครูแววมีเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศเยอะ และอยู่กับเขาด้วยความเข้าใจมาโดยตลอด ที่โรงเรียนก็มีเด็กนักเรียนที่มีตัวตนหลากหลาย บางคนเรารับรู้ได้ตั้งแต่อนุบาล พอได้ไปอบรมมาก็เห็นโลกกว้างขึ้นและเข้าใจลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม ครูแววดีใจ เพราะสำหรับเด็กกลุ่มนี้ ถ้าเราให้ความรู้เขา เขาจะได้รู้ว่ามีคนเข้าใจและยอมรับเขาอยู่”
“วิธีการของครูแววคือเริ่มที่คุณครูก่อน ถ่ายทอดให้เพื่อนครูฟัง เราจะไม่อธิบายให้เด็กเล็กเข้าใจหรอกว่าโลกนี้มีความหลากหลายอะไรบ้าง แต่เราจะคุยกับผู้ใหญ่ก่อน ครูเราจะไม่ว่าเขา ไม่ใช้คำตีตราเด็ก เราไม่ถึงกับจัดเลคเชอร์ให้ครู แต่มีประเด็นอะไรขึ้นมาถึงจะค่อย ๆ แชร์ สถานการณ์จะสร้างพระเอกนางเอกขึ้นมาให้เราสามารถคุยกับเขาได้ในเวลานั้น ถ้าเวลานักเรียนเจอเพื่อนที่ว่าเขาด้วยคำต่าง ๆ ครูก็จะบอกว่าทุกคนจะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้มีความสุข เด็กเขาก็จะซอฟต์ลง อย่างกรณีของพี่ต้น (นามสมมติ) เขาเดินมาบอกครูว่าเพื่อน ‘เป็นกะเทย ชอบเอาผ้ามาคลุมแล้วทำเป็นกระโปรง’ ในท่าทางฟ้อง ครูแววก็จะบอกว่า ‘ต้น ไม่เป็นไรเลย นัท (นามสมมติ) เขามีความสุขไหมตอนที่เขาทำ’ เขาตอบว่า ‘มีความสุขครับ’ ‘เห็นไหมเขามีความสุข แล้วต้นควรจะไปว่าพี่นัทไหมลูก’ เขาก็คิดได้แล้วตอบเองว่า ‘ไม่ควรครับ’
‘ในขณะเดียวกัน ต้นชอบเล่นแบบที่ต้นเล่น ต้นมีความสุขไหม’
‘ครับ’
‘ถ้าต้นทำแบนนั้นแล้วมีความสุข ก็ไม่ควรไปว่าเขา’"
ครูแววเสริมว่าโรงเรียนจะยังไม่สอนเป็นเรื่องเพศเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่ทำให้เด็ก ๆ รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เขาเป็นแล้วจะแปลกแยก หรือด้อยกว่าใคร “ทุกคนมีคุณค่า ครูเองก็เหมือนกัน ครูแววคุยเรื่องการทาสีห้องน้ำ ต่อไปเราจะไม่ทาสีแบ่งแยกแล้วนะ หรือว่าแก้วน้ำสีชมพูต้องเป็นของผู้หญิง สีฟ้าของผู้ชาย จะสีอะไรก็ได้ ที่นอนเด็กอนุบาล เพศไหนนอนสีอะไรก็ได้ พอครูเขาได้ยินก็คิดได้ ‘เออจริงเนอะ’ เหมือนเราถูกปลูกฝังเรื่องบทบาทเพศโดยวัฒนธรรมมา ตอนนี้เราเลยต้องพยายามให้มันกลืนไปทีละน้อย ทำให้เด็กรู้สึกว่าเขาเท่าเทียมกันทุกคน ครูแววก็เชื่อมั่นในสิ่งนี้และพยายามสอนเด็กให้เป็นอะไรก็ได้ เน้นให้เขาความสุข แม้โรงเรียนเราจะมีเด็กที่มาจากบ้านที่ลำบาก ไม่พร้อมเท่าเด็กที่ถูกส่งไปเรียนในเมือง แต่ตัวเราเป็นครู เราจะไม่ดูถูกเด็ก เราให้เขาเรียนที่โรงเรียนเราอย่างมีความสุข อ่านออกเขียนได้คิดได้ รู้เท่าทัน ใช้ชีวิตให้เป็น”
“พอเขากลับไปหาครอบครัว เราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรได้ทั้งหมด แต่ในระหว่างที่เขาอยู่กับเราที่นี่ 6 ชั่วโมง เราจะพยายามหล่อหลอมให้ดีที่สุด เป็นบ้านหลังที่สองที่จะให้เขาตรงนี้ได้”
.
ในวันนี้โรงเรียนบ้านหัวเวียงเหนือมีนักเรียน 37 คน โดยครูแววคาดว่าปีหน้าอาจจะมีเพิ่มประมาณ 2-3 คน ซึ่งยังไม่ครบจำนวนขั้นต่ำที่จะได้รับการจัดสรรผู้อำนวยการตามระเบียบของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (61 คน) และเมื่อการสอนแบบรวมกลุ่มโรงเรียนที่มีระยะทางอยู่ในพื้นที่ใกล้กันไม่ใช่ความต้องการของโรงเรียนและชุมชน บทบาทผู้นำสถานศึกษาของครูแววจึงต้องดำเนินต่อไป
ก่อนจบการพูดคุย เธอได้ตกผลึกประสบการณ์ในบทบาทต่าง ๆ ที่ทับซ้อนกันว่า
“เราเป็นทั้งผู้นำและครู เป็นผู้นำหญิงซึ่งในตัวตนของเราทุกคนมีทั้งความเป็นหญิง (feminine) และชาย (masculine) ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรมากน้อยแค่ไหน เรามีคุณค่าในตัวเอง ครูแววมองว่า เราอยู่จุดไหน เรามีหน้าที่อะไร เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อยู่ที่บ้านเราเป็นสมาชิกครอบครัว เราทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด พอเรามาทำงานก็เช่นกัน เห็นคุณค่าของบทบาทนั้นและคุณค่าในตัวเราให้มากที่สุด เมื่อเราผิดพลาดก็อย่าดูถูกหรือทำร้ายตัวเอง และทำให้ตัวเองมีความสุข”
“ตอนนี้เราผ่านจุดเปลี่ยนของโรงเรียนมาหนึ่งปีแล้ว จริงที่ช่วงแรกเราปรับตัวกันพอสมควร แต่วันนี้ครูแววว่ามันเข้าที่แล้ว และไปต่อได้ เรายังพากันไปต่อได้หลายปี”
ภาคประชาสังคมยื่นข้อเสนอ “1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 นวัตกรรม” แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2565 โครงการแอ็คเซส สคูล (ACCESS School) ชุมชนสร้างโรงเรียน โรงเรียนสร้างชุมชน นำโดยสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย มูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย สมาคมไทบ้าน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป จัดเวทีสาธารณะ “ฟังเสียงโรงเรียนเล็ก ก้าวใหม่ ไปด้วยกัน” ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการศึกษาร่วมสร้างเส้นทางใหม่เพื่อให้โอกาสโรงเรียนขนาดเล็กอยู่กับเด็กและชุมชน
ในงานดังกล่าวประกอบไปด้วยการนำเสนอความสำเร็จของโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ใช้นวัตกรรมการเรียนการสอน Active Learning เพื่อยกระดับคุณภาพในบริบทที่ท้าทาย การยื่นข้อเสนอเชิงนโยบาย “1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 โรงเรียนนวัตกรรม” ของเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กและองค์กรภาคประชาสังคมด้านการศึกษาต่อกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมี ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้แทนรัฐมนตรี ตรีนุช เทียนทอง นอกจากนี้ผู้แทนภาครัฐ ภาคประชาสังคม และโรงเรียนขนาดเล็กยังร่วมชักธงโรงเรียนขนาดเล็กจำลองขึ้นเสา แสดงถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กของผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย
เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย คณะทำงานโครงการ ACCESS School กล่าวว่า โครงการฯ ทำงานร่วมกับเครือข่ายการศึกษาโดยสอดรับกับความต้องการของชุมชนยากจนและชายขอบมากที่สุด โดยเฉพาะบริบท ความท้าทาย และคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีความหลากหลายและมีผลกระทบต่อเด็กและชุมชนจำนวนมาก และต้องการส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษาผ่านการพัฒนาขีดความสามารถของภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็งและสร้างกลไกร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในระดับชาติและระดับพื้นที่
"โมเดลโรงเรียนขนาดเล็ก" ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ จะเป็นแผนแม่บทในการสร้างกลไกการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืน และอยู่บนฐานของนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม ในปีที่ 3 ของโครงการฯ (พ.ศ. 2565) มีเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กที่ปรับใช้นวัตกรรมต้นแบบกับบริบทพื้นที่แล้วกว่า 168 โรงเรียน ก่อเกิดครูแกนนำ ผู้นำสตรีด้านการศึกษา นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในโรงเรียนขนาดเล็ก และคณะกรรมการสถานศึกษาที่เข้มแข็งและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาใน 8 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และน่าน

ฟรานเชสก้า จิลลี่ ผู้ช่วยเลขานุการฝ่ายความร่วมมือ สหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้สอดคล้องกับคุณค่าที่สหภาพยุโรปยึดมั่น นั่นคือสิทธิของเด็ก สิทธิเด็กเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนที่สหภาพยุโรปต้องเคารพ คุ้มครอง และรักษา เด็กทุกคนควรได้รับสิทธิอย่างทั่วถึงและสามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงทุกรูปแบบ ถึงแม้ว่าการเข้าถึงการศึกษาจะดีขึ้นในหลายศตวรรษที่ผ่านมา หากพูดถึง “สิทธิในการศึกษาที่มีคุณภาพ” นั้นยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องเติมเต็ม การทำให้เด็กสามารถไปโรงเรียนได้นั้นไม่เพียงพอหากห้องเรียนยังไม่มีคุณภาพและครูไม่สามารถทำการสอนได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องคำนึงถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้มากขึ้น
หลักการข้อแรกของเสาหลักด้านสิทธิทางสังคมของสหภาพยุโรป (the European Pillar of Social Rights) เน้นย้ำถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การเข้าถึงการฝึกทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้บุคคลมีทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่ทำให้ตนสามารถประสบความสำเร็จในตลาดแรงงานและใช้ชีวิตอย่างมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่
สหภาพยุโรปชื่นชมในความมุ่งมั่นและตั้งใจของกระทรวงศึกษาธิการในการบรรลุผลนโยบายการศึกษาถ้วนหน้าตั้งแต่ พ.ศ. 2542 สิ่งนี้ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายสำหรับรัฐบาลใดก็ตาม แต่ขอให้ท่านทราบว่ากระทรวงไม่ได้ทำงานโดยลำพัง ภาคประชาสังคมที่เห็นในวันนี้พร้อมสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ การสร้างการมีส่วนร่วมจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การปฏิรูปการศึกษาที่สัมฤทธิ์ผล เราเชื่อว่าภาคประชาสังคมที่ได้รับการส่งเสริมคือส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของระบบการปกครองและบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาหรือในภาคส่วนใด

ทางเลือกใหม่ ให้โอกาสโรงเรียนขนาดเล็กอยู่กับเด็กและชุมชน
เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย กล่าวว่า ข้อเสนอ "1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 โรงเรียนนวัตกรรม" ได้รับการลงนามโดยเครือข่ายครู ผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กและภาคประชาสังคมด้านการศึกษา สภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์ เครือข่ายโรงเรียนนอกกะลา (ภาคกลาง) สมาคมผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สพป.น่าน เขต 1 และโครงการ ACCESS School มีรายละเอียด ดังนี้
- ให้มีการส่งเสริมโครงการ “1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 โรงเรียนนวัตกรรม” เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าเงื่อนไขหรือเข้าร่วม "โครงการ 1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ" ให้สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืน
- ให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนการศึกษา ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการของครู บุคลากรทางการศึกษาและผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กในการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมการจัดการศึกษา หลักสูตร แผนการเรียนการสอน การวัดผลบนฐานสมรรถนะที่ภาคเอกชน ท้องถิ่น รวมถึงโรงเรียนขนาดเล็กที่ได้ทดลอง สร้างสรรค์ พัฒนา และดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายการศึกษาชาติทั้งคุณภาพผู้เรียน คุณภาพครู ผู้บริหารและการมีส่วนร่วมของชุมชน และหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนขนาดเล็ก
- เพื่อให้โครงการ "1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 โรงเรียนนวัตกรรม" สามารถปฏิบัติได้อย่างเต็มศักยภาพ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการและองค์กรที่เกี่ยวข้องสนับสนุน ดังนี้
- ให้เพิ่มโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ “โครงการ 1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภาพ” ได้เป็นสถานศึกษาพิเศษ (2) สถานศึกษาที่จัดการศึกษาในเชิงทดลอง วิจัยและพัฒนา ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
- ให้โรงเรียนขนาดเล็กที่เป็นโรงเรียนนวัตกรรมสามารถจัดการศึกษาได้ทั้งรูปแบบในระบบ นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ตามมาตรา 15 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หรือเทียบเคียงกับการศึกษาตามคุณวุฒิ การศึกษาเพื่อการพัฒนาตนเอง และการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่
- ให้แก้ไข-ปลดล๊อกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. / เทศบาล / อบต.) สามารถให้การสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ แก่โรงเรียนขนาดเล็กได้
- สนับสนุนให้ครูชุมชน เช่น ครูภูมิปัญญา สถานประกอบการ ผู้นำศาสนา ฯลฯ สามารถเป็นผู้ครูผู้ช่วยหรือเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กและครูได้
ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ข้อเสนอ “1 โรงเรียนขนาดเล็ก 1 นวัตกรรม” สอดคล้องกับนโยบายของ สพฐ. ที่ต้องการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กโดยมีบริบทของพื้นที่เป็นฐาน และการใช้นวัตกรรม Active Learning ขับเคลื่อนอยู่แล้ว พร้อมระบุว่า รัฐไม่มีนโยบายยุบควบรวม โรงเรียนขนาดเล็กที่เข้มแข็งและมีคุณภาพจะอยู่ต่อไป ไม่มีการบังคับยุบหรือควบรวม ส่วนนโยบายโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลที่มีอยู่นั้นจะรองรับโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ให้มาใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเป้าหมายคือมีผู้เรียนเป็นสำคัญคือต้องรับการศึกษาที่ดี
ดร.อัมพร กล่าวว่า ตนจะรับข้อเสนอ "1 โรงเรียน 1 นวัตกรรม" ของเครือข่ายโรงเรียนและภาคประชาสังคมไปนำเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อกำหนดเป็นนโยบายของรัฐ และนำไปเป็นกรอบแนวคิดสำหรับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ เพราะเขตพื้นที่เป็นหน่วยที่อยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด

โรงเรียนขนาดเล็กเข้มแข็ง ด้วยต้นแบบและเครือข่ายที่เข้มแข็ง
โมเดลที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ ACCESS School เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้นนำนวัตกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning มาปรับใช้ตามบริบทของแต่ละโรงเรียนและพื้นที่ โดยมีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งทั้งกับโรงเรียนต้นแบบนวัตกรรม เครือข่ายโรงเรียนระดับจังหวัดและระดับภาค รวมถึงชุมชนเจ้าของโรงเรียนนั้น ๆ ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โมเดลดังกล่าวได้ขยายผลและสร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาส 168 แห่ง แบ่งเป็น
- ภาคเหนือ ประสบผลสำเร็จ 57 โรงเรียน ขยายผลโดยสมาคมผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. น่าน เขต 1โดยมีโรงเรียนแกนนำ 18 โรงเรียน และโรงเรียนขยายผลต่อ 39 โรงเรียน
- ภาคกลาง ประสบผลสำเร็จ 37 โรงเรียน ขยายผลโดยเครือข่ายโรงเรียนนอกกะลา (ภาคกลาง) ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี โดยมีโรงเรียนแกนนำ 6 โรงเรียน และมีโรงเรียนขยายผล 31 โรงเรียน
- ภาคอีสาน ประสบผลสำเร็จ 115 โรงเรียน ขยายผลโดยสมาคมไทบ้านและและสภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์ ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด โดยมีโรงเรียนแกนนำ 20 โรงเรียน และโรงเรียนขยายผล 95 โรงเรียน
สำหรับนวัตกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่เครือข่ายโรงเรียนเหล่านี้รับมาปรับใช้ ได้แก่ จิตศึกษา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning / PBL) และชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community / PLC) ซึ่งมีต้นแบบมาจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์ และนวัตกรรมเครื่องมือสอนคิด (Thinking Tools) ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จ.เชียงราย
ในเวทีเสวนา “ฟังเสียงโรงเรียนเล็ก ก้าวใหม่ ไปด้วยกัน” ที่ดำเนินขึ้นหลังการมอบข้อเสนอต่อผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนต้นแบบนวัตกรรมและเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กร่วมสะท้อนประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงห้องเรียนด้วยนวัตกรรม และการหนุนเสริมโรงเรียนขนาดเล็กให้คงอยู่ได้ผ่านการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม
ดร.ศราวุธ สุตะวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน อบจ.เชียงราย ต้นแบบโรงเรียนสอนคิด (Thinking School) กล่าวว่า ก่อนมีนวัตกรรม ผลการประเมินเกณฑ์ต่าง ๆ บ่งชี้ว่ามาตรฐานที่เด็กไทยตกคือเรื่องของการคิด เด็กไม่สามารถคิดไว คิดระดับสูงอย่างวิเคราะห์หรือสังเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ได้ แต่ตนชื่อว่าเด็กแต่ละคนเก่งคนละด้าน ดังนั้น เมื่อออกแบบโรงเรียน จึงยกเครื่องมือสอนคิดเข้ามา เครื่องมือดังกล่าวมี 10 ชนิดและผู้สอนสามารถใช้เครื่องมือร่วมกับเนื้อหาวิชาการหรือการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนได้ สิ่งที่พบจากการนำนวัตกรรมมาใช้คือ ผู้เรียนมีภาวะความเป็นผู้นำ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่วยเหลือคนเป็น Active Learning ไม่ใช่การร้องเล่นเต้นรำ แต่หมายถึงการเรียนรู้ในวันหนึ่งจะประกอบด้วย ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skills) และความคิด (concept) การสอนแบบท่องจำอาจจะได้ผลดีในอดีต แต่วันนี้เด็กต้องเข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าได้

บุณฑริก ซื่อสัตย์ ครูโรงเรียนบ้านฮากฮาน จ.น่าน กล่าวว่า การใช้เครื่องมือสอนคิดพัฒนาทั้งเด็กและตัวครู และยังสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูในพื้นที่อื่น ๆ และสร้างกำลังใจให้ตนฐานะครูคนหนึ่ง "ทุกครั้งที่เหนื่อย เราได้คุยกับเพื่อนครูที่ประสบปัญหาเดียวกัน หัวอกเดียวกัน เรารู้สึก empowered มีพลังใจซึ่งกันและกัน ทำให้มีความสุขและมีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป"
นอกจากเพื่อนของครู บุณฑริกยังเป็นโค้ชของครู ภายในเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กจังหวัดน่าน เธอได้รับการฝึกฝนให้เป็นวิทยากรสอนคิด เพื่อที่จะขยายผลนวัตกรรมไปในโรงเรียนอื่น ๆ ภายในจังหวัด โรงเรียนบ้านฮากฮานจึงเป็นโรงเรียนแกนนำเพื่อให้โรงเรียนข้างเคียงในตำบลเดียวกันหรือต่างพื้นที่มาศึกษาดูงาน ตลอดจนให้คำปรึกษา "เมื่อเขามาดูโรงเรียนเราก็เห็นเด็ก ๆ และทุกอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เป็นการไม่ต้องพูดให้เสียงดัง แต่ให้การกระทำยืนยันผลสำเร็จของเครื่องมือสอนคิดนี้"
รัตนา บัวแดง ครูโรงเรียนวัดโคกทอง จ.ราชบุรี ซึ่งรับนวัตกรรมจิตศึกษา PBL และ PLC มาใช้ กล่าวว่า นวัตกรรมส่งผลให้โรงเรียนกับชุมชน และเด็ก ครู กับผู้ปกครอง มีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เพราะว่านวัตกรรมจิตศึกษา ทำให้ทุก ๆ คนอยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่มีศักดิ์ว่ามีความเป็นเด็ก เป็นครู เพราะฉะนั้น ทุกคนสามารถที่จะกล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งกิจกรรมจิตศึกษา ครูนำไปใช้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน ทำให้เด็ก ๆ มีความสนิทสนม กล้าพูดบางเรื่องที่อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะครูจะไม่บอกว่าอันนั้นผิด อันนี้ถูก ให้อิสระในการแสดงความคิดเห็น
รัตนาเสริมว่า สิ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาทำให้โรงเรียนของตนเห็นคือการมีเครือข่าย เพราะโรงเรียนกำลังทำสิ่งที่ต่างจากเพื่อน ทำให้ไม่มีเพื่อนคู่คิด คู่ทำ จนกระทั่งทางลำปลายมาศเชื่อมให้รู้จักกับโรงเรียนวัดอมรวดี จ.สมุทรสงคราม และต่อมามีเพื่อนเป็นโรงเรียนวันมหาราช จ.ราชบุรี โรงเรียนบ้านห้วยรางเกตุ โรงเรียนบ้านหนองขาม จ.นครปฐม และ ต่อ ๆ มาอีกหลายโรงเรียน รวมตัวกันเป็นเครือข่ายโรงเรียน การที่เรามีเครือข่ายทำให้เรามีเพื่อนร่วมคิดร่วมทำ พากันเดิน จูงกันไป จนกระทั่งโรงเรียนวัดโคกทองได้มาเจอมูลนิธิแอ็คชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล และโครงการ ACCESS School ซึ่งทำให้ได้มาร่วมพัฒนาบุคลากร โรงเรียนขนาดเล็ก และโมเดลการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในเวลาต่อมา
รับชมเวทีสาธารณะ “ฟังเสียงโรงเรียนเล็ก ก้าวใหม่ ไปด้วยกัน” ย้อนหลัง:
ช่วงที่ 1 การยื่นข้อเสนอและคำกล่าวของสหภาพยุโรปและผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ
ช่วงที่ 2 เสวนา "ฟังเสียงโรงเรียนเล็ก ก้าวใหม่ ไปด้วยกัน" โดยวิทยากร วิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์, ดร.ศราวุธ สุตะวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน อบจ.เชียงราย, พิชญ์สินี ชื่นชูวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยรางเกตุ จ.นครปฐม, รัตนา บัวแดง ครูโรงเรียนวัดโคกทอง จ.ราชบุรี, บุณฑริก ซื่อสัตย์ ครูโรงเรียนบ้านฮากฮาน จ.น่าน, ทักษิน เชื้อสูง ผู้อำนวยการโรงเรียนจินดาสินธวานนท์ และอุทัย แก้วกล้า ประธานสภาพัฒนาการศึกษากาฬสินธุ์